Tag: Retail space
โปรเจค ESSENCE ตึกสูงพร้อมด้วยระบบนิเวศ 11 รูปแบบ
นิตยสาร eVolo เริ่มต้นจัดการแข่งขันประกวดแนวคิดและวิสัยทัศน์การออกแบบตึกสูงในอนาคตมาตั้งแต่ปี 2006 การประกวดอาคารระฟ้างานนี้มีผลงานเข้าส่งกว่า 6,000 โครงการจากทั่วโลก และตำแหน่งชนะเลิศปีนี้ ก็ตกเป็นของผลงานดาวเด่นชื่อ ESSENCE อาคารขนาดยักษ์นี้ออกแบบโดยทีม BOMP จากโปแลนด์ (มีสมาชิกคือ Ewa Odyjas, Agnieszka Morga, Konrad Basan และ Jakub Pudo) ภายในประกอบไปด้วยแหล่งที่อยู่อาศัย ของสิ่งมีชีวิตกว่า 11 รูปแบบ รวมถึง ป่าดงดิบ ทะเลทราย ภูเขาน้ำแข็ง มหาสมุทรและถ้ำ ทั้งหมดออกแบบมา เพื่อให้เป็นระบบนิเวศที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่จริง
“เป้าหมายหลักของโครงการคือเพื่อนำเอาปรากฎการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ในทางสถาปัตยกรรม ให้เป็นรูปเป็นร่างเพื่อมาอยู่ท่ามกลางเมืองหลวงที่แออัด โดยใช้ตัวตึกเรียบง่ายเป็นฉาก แรงบันดาลใจจากธรรมชาติช่วยให้สามารถสื่อภาพโลกภายนอก ในรูปแบบโครงสร้างแนวตั้งได้” ทีม BOMP อธิบาย
อาคาร ESSENCE ชั้นแรกซึ่งเป็นส่วนทางเข้าอาคารจัดแต่งเป็นระบบนิเวศใต้น้ำ และทิวทัศน์ในแต่ละชั้นด้านบน จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยเรียงลำดับจากชั้นล่างถึงชั้นบน อาคารแห่งอนาคตนี้จะนำคุณไปสู่มหาสมุทร ป่าดิบชื้น หนองน้ำ ที่ราบกว้างใหญ่ (ซึ่งเป็นภูมิอากาศแบบกึ่งแล้ง) ทะเลทราย ถ้ำ น้ำตก แม่น้ำ ทุ่งหญ้า ภูเขา และภูเขาน้ำแข็ง นอกจากนี้ยังมีชั้นเพิ่มอีกสามชั้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลระบบ เพื่อให้ภูมิอากาศและภาวะต่างๆ คงสภาพดังที่ควร
อาคารแนวตั้งความสูง 2,066 ฟุตแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์ต่างๆอย่างเต็มอิ่ม ทั้งทางทัศนวิสัย อุณหภูมิ ประสาทรับกลิ่นและการเคลื่อนไหว ในแบบเปิดโล่งและการจัดแต่งเหมือน “เดินท่องเที่ยว” อยู่ภายใน ยกตัวอย่างเช่น ชั้นระบบนิเวศใต้น้ำจะอยู่ใต้ตู้ปลาขนาดยักษ์ซึ่งอยู่สูงจากพื้นประมาณ 98 ฟุต
สำหรับรายละเอียดแบบแปลนของทีม BOMP ซึ่งมีข้อมูลโครงการแบบล้วงลึก สามารถเข้าไปชมผลงาน
ที่พวกเขาส่งประกวดได้ที่ eVolo
Source: justluxe




ทุ่ม 9,500ล้าน ผุดแลนด์มาร์คการท่องเที่ยวแห่งใหม่ใกล้พระราม9
Source: www.ddproperty.com
Date: 17 กันยายน 2558
โชว์ ดีซี คอร์ปทุ่มงบ 9,500 ล้าน เตรียมเปิดฉากศูนย์การค้า-เอนเตอร์เทนเมนต์ครบวงจรและ K-Town ที่ใหญ่ที่สุดในโลกใกล้ย่านพระราม 9 หวังปั้นให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ คาดเปิดให้บริการมิถุนายน 2559
นายชยดิษฐ์ หุตานุวัชร์ ประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมทุ่มงบลงทุนทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาทในการพัฒนา ‘โชว์ ดีซี’ (SHOW DC) ศูนย์การค้าและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ครบวงจรแห่งแรกของไทยขนาด 150,000 ตารางเมตร บนพื้นที่ 27 ไร่ บนถนนจตุรทิศ ใกล้ถนนพระราม 9 โดยมุ่งหวังให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2559
โชว์ ดีซี ซึ่งย่อมาจาก Show Destination Center จะประกอบไปด้วยศูนย์การประชุมและการแสดงที่รองรับผู้ชมได้ 5,000 คน บนพื้นที่ 5,000 ตร.ม., สปอร์ต อารีนา สนามแข่งขันกีฬาเพื่อความบันเทิงแห่งเอเชียรองรับผู้ชมได้ 1,500 ที่นั่ง รวมถึงการแสดงพิเศษส่งเสริมวัฒนธรรม ‘หิมพานต์ อวตาร’ ในรูปแบบ 4D โดยใช้เทคโนโลยีแสง สี เสียงแบบโฮโลกราฟฟิคบนพื้นที่ 5,000 ตร.ม. นอกจากนี้ ยังมีการเนรมิตรพื้นที่ 10,000 ตร.ม. ให้เป็นเอเชียนฟู้ดสตรีท ซึ่งรวบรวมอาหารขึ้นชื่อของเอเชียมาไว้ในที่เดียว และการสร้าง K-Town หรือเมืองเกาหลีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่รวบรวมสินค้าแฟชั่นความงาม รวมถึงบริการเพื่อความงามจากเกาหลีที่ครบครันมากที่สุดในประเทศไทย และร้านอาหารของศิลปินเกาหลีชื่อดัง มาเปิดบริการ อาทิ ‘Psy Ramen’ (ไซ ราเม็ง) ของไซ กังนัมสไตล์ และ ร้าน ‘After Rain’ ของ นักร้องหนุ่ม Rain
“ปัจจุบันโครงการสามารถปล่อยพื้นที่เช่าได้ 60% แล้วโดยหนึ่งในบรรดาผู้เช่ารายใหญ่ ได้แก่ YG Entertainment ซึ่งเป็นค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลี เพื่อเตรียมเปิดศูนย์วัฒนธรรมและความบันเทิงสไตล์ ‘K-Pop’ บริเวณชั้นดาดฟ้าเนื้อที่ 5,000 ตร.ม.
ด้านนางประภาวัลย์ เวลาดีวงณ์ รองประธาน บริษัท โชว์ ดีซี คอร์ป จำกัด กล่าวว่าเมื่อโชว์ ดีซี เปิดให้บริการจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ราว 50,000 คนต่อวัน และเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ทางบริษัทได้ทุ่มทุนสร้างที่จอดรถบัสขนาดใหญ่ รวมไปถึงจัดการวางแผนเส้นทางการเดินชมของผู้มาใช้บริการภายในศูนย์การค้า อย่างเป็นระบบ
“หนึ่งในความสะดวกสบายที่โชว์ ดีซี เตรียมไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คือ VIP Traveller Lounge บริการฝากกระเป๋าเดินทาง อาบน้ำ หรือพักผ่อน หลักจากเช็คเอาท์จากโรงแรมที่พักและในขณะรอเครื่องบินไฟลท์ค่ำ นอกจากนี้ โชว์ ดีซี ยังได้เตรียมบริการรถรับส่งฟรีไปยังสนามบินในกรุงเทพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย” นางประภาวัลย์ กล่าว
มีอะไรที่น่าตื่นเต้นใน “The EM District” บ้าง?
วันพรุ่งนี้แล้วครับ (27 มีนาคม 2558) จะเป็นวันที่กลุ่มเดอะมอลล์ฯได้สถาปนาอาณาจักร world class retail complex ใหม่ใจกลางถนนสุขุมวิท ที่เรียกกันว่า “The Em District” อย่างเป็นทางการครับ…การเปิดตัวของ The Em District ในครั้งนี้ จุดสนใจอยู่ที่ 1 ห้างใหม่ (The EmQuartier) และ 1 ห้าง renovated (The Emporium) ครับ โดยโครงการ The EmSphere จะถูกพัฒนาเป็นลำดับต่อไปโดยมีกำหนดการสร้างเสร็จครบทั้งโครงการในปี 2560… ทางผู้บริหารของเดอะมอลล์ ได้เคยให้คำจำกัดความของศูนย์การค้าทั้งสามภายใต้ “The Em District” เอาไว้ดังนี้ครับ
The Emporium คือ ที่สุดแห่งความมีระดับ (The Ultimate Shopping Complex)
The EmQuartier จะเป็นมิติใหม่ของรูปแบบชีวิตที่ไม่ธรรมดา (The Extraordinary Life)
The Emsphere จะเป็นชีพจร เป็นความเร้าใจใหม่ของกรุงเทพฯ (The Vibe of Bangkok has never experienced before)
หากเราเดาจากคำจำกัดความดังกล่าว ก็จะพบว่า The EmQuartier (ที่หลายๆคนรอคอยที่จะเดินเข้าไปในวันเปิดตัวพรุ่งนี้นั้น) จะเป็นห้างที่ไม่ได้วาง Position ตัวเองอยู่ในกลุ่ม Super Hi-end ชนิดที่มีแต่ World class brand name shop เปิดอยู่ทั่วทุกอณูของพื้นที่ห้าง เพื่อให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำเต็มที่กับประสบการณ์แบบ “Luxury lifestyle” ในแบบที่คู่รักคู่แค้นอย่าง Central Embassy เป็นครับ…แน่นอนครับว่าเจตนารมณ์ของผู้สร้าง The Em District นั้นคือการสร้าง “ย่านการค้า” ขึ้นมาใหม่ครับ หาใช่เพียงแค่การสร้างห้างสรรพสินค้าในแบบ stand alone แต่อย่างใด…การสร้าง Concept ของย่านการค้านั้นจะช่วยการันตีได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครหน้าไหน ใช้รถยี่ห้ออะไร หรือจะมา BTS…คุณก็สามารถที่จะเข้ามาเดินเล่น จับจ่าย ใช้สอยภายในโครงการ The Em District ได้ ตั้งแต่สินค้าประเภท Fast Fashion ไปจนถึงสินค้าระดับ World Class Collection (ก้แหงหละเพราะมีตั้ง 3 ห้างให้เลือกเดิน)
ทั้งนี้ Concept ของการสร้าง District นั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ครับ ถ้าเพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือ business partner ไม่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนา locality ร่วมกัน (Co -Creation) และเอาคอนเซปท์มาโปรโมตพร้อมกันครับ…พันธมิตรหลักทั้ง 6 รายที่ช่วยกันเติมเต็มโมเดล District นี้ ประกอบด้วย บริษัท ภิรัชบุรี จำกัด developer โครงการภิรัชทาวเวอร์ แอท เอ็มควอเทียร์ สำนักงานให้เช่าเกรดเอ ความสูง 49 ชั้น พื้นที่รวม 70,000 ตารางเมตร, บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด ของกลุ่มตระกูลลิปตพัลลภ เปิดตัวคอนโดมิเนียม Park 24 (เปิดตัวเฟสสองแล้วน้า) เนื้อที่ 12 ไร่ เปรียบดั่งผืนป่ากลางซอยสุขุมวิท 24
Credit ภาพ: http://www.park24.co.th
กลุ่มทีซีซีแลนด์ พัฒนาโรงแรมในย่านสุขุมวิท 24 และ 26 จำนวน 3 แห่ง เงินลงทุนประมาณ 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโรงแรมก่อสร้างใหม่ 2 แห่ง คือ Hilton Sukhumvit Bangkok ขนาด 305 ห้อง และ DoubleTree by Hilton Sukhumvit Bangkok เป็นบูติกโฮเต็ลขนาด 177 ห้อง และปรับปรุงโรงแรมอิมพีเรียลควีนส์ปาร์คครั้งใหญ่ ภายใต้มาตรฐานเชน “แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล” โดยถือเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ จำนวนห้องพัก 1,260 ห้อง คาดว่าปรับปรุงเสร็จปลายปี 2558 และเปลี่ยนชื่อเป็น Bangkok Marriott Hotel Queen’s Park เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มประชุมสัมมนา ทั้งด้านธุรกิจ และ ท่องเที่ยว
ส่วนพันธมิตรอีก 3 ราย เป็นกลุ่มเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ได้แก่ “เอสเอฟซีนีม่า ซิตี้” ซึ่งเร่งปรับปรุงโรงภาพยนตร์ SFX Cinema โฉมใหม่ ให้เป็น EMPRIVÉ CINECLUB โคตรโรงภาพยนตร์ Hi End แต่ราคาจับต้องได้ ที่ The Emporium
Credit ภาพ: https://www.facebook.com/EmpriveCineclub
รวมไปถึงกลุ่มเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป เปิดตัวโรงภาพยนตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ “ควอเทียร์ ซีเนอาร์ท” เน้นกลุ่มคนรุ่นใหม่สไตล์ฮิป จำนวน 8 โรง
และสุดท้ายเจรจาดึง “Virgin Active Health Clubs” เข้ามาเปิดแฟล็กชิปคลับ ระดับพรีเมียม ขนาด 4,000 ตารางเมตร
ในด้านการออกแบบนั้น The EmQuartier จะเป็นสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่ล้ำนำสมัยรวม 3 อาคาร ชื่อ The Helix Quartier, The Waterfall Quartier และ The Glass Quartier ซึ่งเชื่อมต่อกับ Bhiraj Tower เป็นอาคารสูงโดยมีจุดชมวิว Sky Cliff อยู่บนยอดตึก โดยนำเส้นสายพลิ้วไหวมาประกอบการออกแบบ ต่างจากศูนย์การค้ายุคเก่าที่เป็นบล็อก เชื่อมโยงพื้นที่ระหว่างเอ็มโพเรียม 1 และ 2 ด้วยลานลอยฟ้าขนาดใหญ่
โดยทีมงานนักออกแบบผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ได้ผสานการรังสรรค์การตกแต่ง ภายใต้แนวคิด Organic Form และ Embracing with Nature ที่นำศาสตร์และศิลป์ในการออกแบบ ผนวกเข้ากับรูปแบบความงามที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เพื่อสร้างสุดยอดสุนทรียภาพแปลกใหม่ในการช้อปปิ้ง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีล้ำยุค (ล่าสุดปีที่แล้ว คว้ารางวัลชนะเลิศสาขา โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Best Commercial Architectural Design – South East Asia) จาก South East Asia Property Awards 2014 ณ ประเทศสิงคโปร์)
ภายใต้การออกแบบดังกล่าว The Em district จะเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมโดยรวม โดยภายในมีพื้นที่สีเขียวกระจายทุกจุด รวมทั้งสวนแนวตั้งขนาดใหญ่ โดยใช้ดีไซเนอร์ระดับโลก แสงและบรรยากาศต้องสร้างความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืน…ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อน lifestyle ของ “epicentre” ของสุขุมวิท ที่ซึ่งเป็น melting pot ของกรุงเทพฯอย่างแท้จริง
แล้วมันมีอะไรน่าตื่นเต้นในห้างนี้ล่ะ?
ผมว่า Hi Light สำคัญจะไปอยู่ที่ตึก The Waterfall Quartier ครับ เป็นอาคารด้านหลังสุดและเป็นที่ตั้งของลานจอดรถตั้งแต่ชั้น G ถึงชั้น 3 โดยเอ็มควอเทียร์จะเป็นศูนย์การค้าแห่งแรกในประเทศไทยที่นำระบบจอดรถอัตโนมัติมาใช้งาน โดยมีพื้นที่รองรับถึง 300 คัน ณ ชั้น B และ BM นอกจากนี้ยังเป็นสารพัดศูนย์รวมความบันเทิงทั้งโรงหนังตกแต่งสไตล์อาร์ตตัวพ่อ (QUARTIER CINEART by Major Cineplex) และสวนสนุก สวนน้ำในร่ม และเป็นที่ตั้งของ Quartier Falls น้ำตกประดิษฐ์ที่สูงที่สุดในเอเชีย ที่จะเริ่มต้นน้ำจากชั้น 4 ของอาคารนี้ และไหลมาจนถึงทางเดินชั้น G ระหว่างสองอาคารที่เหลือ
ยังไม่หมดครับตึกนี้ยังมีแท่งหรรษาที่มาพร้อมแสงสีเสียง เป็นจอโฆษณา LED ขนาดยักษ์ครับ!! (ไม่รู้กี่สิบล้าน)
ตึก The Helix Quartier (คล้ายกับสะพาน Helix ที่สิงค์โปร์เนอะ แถมคอนเซปท์บิดเกลียวเป็น DNA เหมือนกันอีก) ด้านหน้าฝั่งซอยสุขุมวิท 37 มีความพิเศษที่มีสวนลอยฟ้าที่ชั้น 5 และตั้งแต่ชั้นนี้เป็นต้นไป ลักษณะทางเดินของอาคารจะเป็นแบบเกลียว โดยที่ผู้มาใช้บริการสามารถเดินขึ้นจากชั้นสวนลอยฟ้าไปจนถึงชั้นบนสุดได้โดยการเดินวนรอบไปตามทางลาด ซึ่งตลอดทางลาดจะเป็นร้านอาหารนานาชาติมากกว่า 50 ร้านตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น DEAN & DELUCA, HARRODS, COVA, JONES THE GROCER , PIERRE HERME French macaron, CHEF MAN , MUGENDAI PENTHOUSE , ANOTHER HOUND & GREYHOUND CAFÉ, VANILLA, ROAST, SODA โอ้ย เยอะมาก… จนถึงขึ้นตั้งนิยามของทางเดินนี้ว่า “THE HELIX THE DINING EXTRAORDINAIRE”
ใครที่ชอบการออกกำลังกาย ขอให้เดินตรงดิ่งไปที่อาคาร The Glass Quartier เลยครับ เพราะที่นี่มีฟิตเนสคลับ ที่ใหญ่ที่สุดติดอันดับโลก ด้วยขนาดถึง 4,000 ตารางเมตร!!!! ที่ชื่อว่า Virgin Active ครับ…ส่วนที่มันใหญ่ขนาดนี้ก็เพราะมันมีหลายอย่างให้เลือกใช้ชีวิตแบบ living fit ในนี้เลยอ่ะครับ ทั้งว่ายน้ำ จนถึงเตียงที่จะช่วยให้คุณนอนหลับแบบสุขภาพดีภายใน 20 นาที!!
Credit รูป: http://www.virginactive.co.th
สำหรับใครที่เป็นขาช้อปของแบรนด์เนม…ที่นี่จะเป็นศูนย์รวม Flagship Stores ของแบรนด์ World Class ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น TIFFANY & CO, VAN CLEEF & ARPELS Haute Joailler, ROGER VIVIER, CHARLOTTE OLYMPIA, SAINT LAURENT, TORY BURCH (เค้าบอกว่า Shop ที่นี่คอนเซปท์ต่างกับที่ Central Embassy นะ), LOUIS VUITTON, CHANEL, DIOR, PRADA, CARTIER, DOLCE & GABBANA, CELINE, FENDI, GUCCI, TOD’S, VALENTINO, CHOLE’, LOEWE’, MIU MIU, SALVATORE FERRAGAMO, BALENCIAGA, ERMENEGILDO ZEGNA, JIMMY CHOO, BURBERRY, EMPORIO ARMANI, HUGO BOSS, DUNHILL, ISSEY MIYAKE, CLUB 21 รวมถึงแบรนด์กระเป๋าสัญชาติเยอรมัน แต่ดันไปดังที่เกาหลีอย่าง MCM ก็มาแบบ Shop ใหญ่มากครับ…
ใครที่ชอบสารพัดแบรนด์ Urban Fashion & High Street Fashion อย่างเช่น BANANA REPUBLIC, A BATHING APE, ZARA, MASSIMO DUTTI, H&M, UNIQLO, GAP, MNG, SUPER DRY, BEAMS, STYLENANDA and UNCENSORED, ,FLY NOW, GREYHOUND, SODA, SOMETHING BOUDOIR, SENADA, ASAVA, KLOSET, SRETSIS, ISSUE, IT’S HAPPENED, DISAYA, SANSHAI, TUBE GALLERY , VICKTEERUT ก็เดินไปที่ตึก The Waterfall Quartier โซน Q Stadium ได้เลย…
สำหรับใครที่อยากไปในวันพรุ่งนี้นะครับ (ผมเองก็ว่าจะไปเดินเล่นเหมือนกันครับ เพื่อจะ lucky draw ได้คอนโด Park 24 หรือ Porch กับเค้าบ้างครับ) ต้องบอกว่าไป BTS เถอะครับ เพราะผมว่าพรุ่งนี้ต้องมีแขก VIP หลายๆคนมาลองระบบ automatic parking ที่ทางโครงการลงทุนไปกว่า 300 ล้านบาทแหงๆครับ อ่ะว่าแล้วก็เอาบัตรเชิญไปเลยครับ แล้วเจอกันครับ!!!!
ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก Marketing Division Manager ของ The Mall Group และ Facebook ของ The Em District นะครับ






















ทางลัด สู่การเป็น Global Brand










อะไรคือก้าวต่อไปของธุรกิจ Shopping mall
สวัสดี ปีใหม่ครับคุณผู้อ่านทุกคน ขอให้มีความสุขสมหวัง เฮงๆ รวยๆ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ตลอดทั้งปีนะครับ…ช่วงนี้ผมสังเกตเห็นว่า กลุ่มธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะในส่วนของ shopping mall, convenience store และ lifestyle mall มีคนเดินเยอะขึ้น (ชาวต่างชาติ ยิ่งโดยเฉพาะชาวจีนก็ปาเข้าไปครึ่งนึงแล้ว) และยอดขายเพิ่มขึ้นมากกกกกจริงๆนะครับ ถ้าประมาณการณ์ด้วยสายตาของผม ผมว่าลูกค้าเยอะกว่าปีที่แล้วบานเลยอ่ะครับ…แต่ร้าน retail นานาชนิดก็ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเหมือนกันครับ ว่าแล้ววันนี้ผมก็เลยเขียนเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มตลาด shopping Mall เลยแล้วกันครับ
ก่อน อื่นผมคงต้องขอเกริ่นถึง สัญญาณบางอย่างเกี่ยวกับการ over supply ของกลุ่มธุรกิจค้าปลีก กัน ก่อนครับ (อันนี้ขอจำกัดแค่ในกลุ่มตลาด shopping mall รวมถึง community mall นะครับ) ข้อมูลนี้นำมาจากหนังสือพิมพ์ โพสท์ ทูเดย์ ฉบับวันที่ 15 ธันวาคม 2555 ซึ่งเค้ามีการไปสัมภาษณ์ผู้บริหารที่คร่ำหวอดมายาวนานในวงการค้าปลีก จากทางฝั่ง CPN และ K Village มาครับ น่าสนใจทีเดียว
“คอม มูนิตี มอลล์ (Community Mall) หรือพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่ใกล้แหล่งชุมชน ซึ่งเกิดขึ้นราวดอกเห็ดช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา นับเป็นร้านค้าปลีกประเภทหนึ่งที่มาแรง ซึ่งคนที่อยู่นอกวงการแห่เข้ามาเปิดกันมากจนปัจจุบันเริ่มมีการกังขากันแล้ว ว่าปริมาณที่เกิดขึ้นถึงขั้นล้นความต้องการตลาด หรือโอเวอร์ซัพพลายหรือยัง
เพื่อ ให้เห็นภาพดังกล่าวชัดทศ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น(ซีอาร์ซี) ผู้บริหารค้าปลีกเซ็นทรัลกล่าวว่า ร้านค้าปลีกประเภทศูนย์การค้าที่จะเติบโตน้อยต่อจากนี้ จะเป็นคอมมูนิตี มอลล์ ที่มีโอกาสถึง 50% จะไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีจำนวนมากในตลาด และกลุ่มที่เข้ามาลงทุนจะเป็นเจ้าของที่ดินพัฒนาโครงการเอง ซึ่งอาจไม่มีความเชี่ยวชาญทำศูนย์การค้า ส่วนภาพรวมธุรกิจศูนย์การค้าในกรุงเทพมหานคร (กทม.)ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวใน 1-2 ปีข้างหน้าตามที่หลายฝ่ายระบุไว้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังขยายตัวได้ต่อเนื่องทุกปีและมีนักท่องเที่ยว ต่างชาติเข้ามาในไทยจำนวนมาก ประกอบกับกำลังซื้อในประเทศขยายตัวดีอยู่
“คอม มูนิตี มอลล์ที่เกิดขึ้นในตลาดปัจจุบันมีโอกาสล้มเหลวได้ 50%เพราะธุรกิจศูนย์การค้าทำยาก และประสบความสำเร็จยาก เห็นได้จากในปัจจุบันมีคอมมูนิตี มอลล์หลายแห่งที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีที่ดินของตัวเองก็เข้ามาพัฒนาโครงการเอง แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญพัฒนาศูนย์การค้าประกอบกับคอมมูนิตี มอลล์ในไทย จะเป็นแบบเปิดโล่ง เมื่อเกิดปัญหาฝนตกบ่อยครั้งก็กระทบให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการน้อยลง และร้านค้าก็ได้รับผลกระทบด้วย” ทศ ให้ความเห็น
ทั้ง นี้ ซีอาร์ซีมีศูนย์การค้าในรูปแบบคอมมูนิตี มอลล์ โดยทำมานาน 20 ปีแล้ว คือ โฮมเวิร์ค ราชพฤกษ์ มีขนาดเล็ก เพื่อจับกลุ่มลูกค้าในชุมชนและอีกแห่งโมเดลใกล้เคียงคอมมูนิตี มอลล์คือ บิ๊กซี วงศ์สว่าง ที่จะหมดสัญญากับบิ๊กซีในอีก 3 ปีข้างหน้า และอยู่ระหว่างพิจารณาจะปรับปรุงเป็นโครงการแบบใด เพราะบริเวณดังกล่าวจะมีรถไฟฟ้าเกิดขึ้น
ด้าน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้ามาทำคอมมูนิตี มอลล์ ร.อ.อติชาติ อรรถกระวีสุนทรผู้ร่วมบริหารโครงการ เอ สแควร์ ภายใต้บริษัทอรรถกระวี กล่าวว่า แนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกรูปแบบศูนย์การค้าชุมชน (คอมมูนิตี มอลล์) ในเขต กทม.โดยรอบ มีอัตราการขยายตัวสูงมากโดยเฉพาะการขยายพื้นที่ค้าปลีกไปยังซูเปอร์มอลล์ ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาและมีความน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตจะเกิดขึ้นเกินความต้องการของ ตลาด(โอเวอร์ซัพพลาย) ในอนาคตหาก มีนักลงทุนสนใจเข้ามาดำเนินธุรกิจคอมมูนิตี มอลล์ในขณะนี้ จำเป็นต้องปรับรูปแบบ (ฟอร์แมต) การให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกสำหรับร้านค้าให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมกลุ่ม เป้าหมายผู้อยู่อาศัยโดยรอบโครงการใหม่ๆ
ขณะ ที่โครงการอสังหาริมทรัพย์ค้าปลีกภายใต้ชื่อ”เอ สแควร์” ของกลุ่มอรรถกระวี ถือเป็นโครงการค้าปลีกรูปแบบใหม่ภายใต้แนวคิดศูนย์รวมร้านค้า ที่รวบรวมร้านอาหารและธุรกิจบริการประเภทต่างๆ 10 แบรนด์หลัก ภายใต้งบลงทุนรวมไม่ต่ำกว่า1,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 16 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 26 โดยปรับรูปแบบการให้บริการในลักษณะการให้สิทธิการเช่าพื้นที่กับผู้ประกอบ การร้านค้าเป็นระยะเวลา 10-15 ปี แนวคิดดังกล่าวเพื่อให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจสามารถพัฒนาโครงการและออก แบบร้านค้าได้ด้วยตัวเอง ซึ่งแตกต่างไปจากค้าปลีกประเภทอื่นที่ผู้เช่าร้านค้าต้องเช่าพื้นที่ภายใน แต่ละโครงการ และต้องปฏิบัติหรือดำเนินการออกแบบร้านค้าตามรูปแบบที่เจ้าของโครงการค้า ปลีกกำหนดไว้ เป็นต้น
ร.อ.อติ ชาติ กล่าวว่า ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้กลุ่มบริษัท อรรถกระวีได้พัฒนาโครงการคอมมูนิตี มอลล์ภายใต้ชื่อเค วิลเลจ ตั้งอยู่บนทำเลถนนสุขุมวิท 26 ติดกับถนนพระราม 4 ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีจำนวนปริมาณลูกค้าหมุนเวียน (ทราฟฟิก) ลดลงราว 5%เมื่อเทียบกับช่วงแรกๆที่เปิดให้บริการซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีคอมมูนิตี มอลล์เกิดขึ้นมากนักในปัจจุบัน
“ไม่ ใช่แค่เฉพาะการเกิดขึ้นจำนวนมากของคอมมูนิตี มอลล์ในขณะนี้ แต่พบว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ที่ผ่านมายังมีการขยายตัวของศูนย์การค้าแห่งใหม่ๆ เปิดให้บริการเป็นจำนวนมากในทำเลต่างๆทั่ว กทม.ด้วยเช่นกัน ซึ่งน่าเป็นห่วงว่าในอนาคตอาจเกิดโอเวอร์ซัพพลายด้านค้าปลีกได้เช่นกัน” ร.อ.อติชาติกล่าว”
…เป็น ไงครับ จากความเห็นของทั้งสองท่านดังกล่าวก็จะเห็นได้ว่า การทำ community mall นั้นไม่ใช่แค่มีที่ดิน ก็สามารถทำได้นะครับ มันต้องดูทั้ง consumer insight ของทั้งแถบ neighborhood ด้วยกันเอง และดูถึงขีดความสามารถในการแข่งขันกันกับ คู่แข่งแถวนั้นด้วยนะครับ ซึ่งปัจจุบันนี้ developer ส่วนใหญ่ที่คิดทำ community mall มักจะมีความคิดยึดติดอยู่ในหัว หรือมองแค่ปัจจัย 4 – 5 อย่างต่อไปนี้ในการ เริ่มต้นพัฒนาโครงการครับ
1. พื้นที่แค่นิดเดียว ไม่ถึง 10,000 ตารางเมตร ก็ทำได้แล้ว
2. อยู่ใกล้แหล่งชุมชน หรืออยู่ในแหล่งท่องเที่ยวก็ทำได้แล้ว (เพราะอย่างงี้ตามหัวเมืองต่างๆ หรือระหว่างทางเข้าเมืองท่องเที่ยว ยิ่งมีเพียบ)
3. สร้างแบบ open space ไม่ต้องทำโครงสร้างมิดชิด มากนักก็ทำได้ ประหยัด
4. เน้นแค่คนละแวกนี้ แวะมากินข้าวก็พอ ก็เลยไม่ต้องใช้สื่ออะไรในการโปรโมตมาก
5. รายได้หลักก็เก็บเอาจากค่าเช่าของร้านค้า หรืออาจจะเป็นการเซ้งระยะยาว
6. ทำ Landscape สวยๆหน่อย ให้คนมาถ่ายรูป เดี๋ยวก็มีคนพากันมาเองแหละ
ถ้า คุณผู้อ่านคนไหนเริ่มต้นที่จะทำ community mall แล้วคิดแบบนี้เหมือนกัน… ผมว่าอันตรายมากนะครับ เพราะว่าไอ้ที่คิดแบบนี้มันมีหลายสิบที่เลยแหละครับ ซึ่งมันก็ยากมาก หากต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามที่ฝันเอาไว้
แนวทางปฏิบัติ ที่ทางผมอยากจะขอแนะนำให้กับผู้ประกอบการทุกท่านก็มีดังนี้ครับ
ในแง่การวาง Positioning > อันนี้ผมว่า Gateway ดูเผินๆจะได้เปรียบมากนะครับ เพราะว่าทำเลแถวนั้น มันช่างถูกใจคนญี่ปุ่นซะเหลือเกิน และกำหนด Positioning ในแบบที่หาคู่แข่งยากมากครับ เรียกได้ว่าห้างญี่ปุ่นในเมืองไทย มีแค่ Isetan และ Tokyu เท่านั้น แถมทั้งสองห้างก็ไม่ได้เป็นรูปแบบ stand alone ซะด้วย…ส่วน Terminal 21 ตอนแรกที่ผมคิด ผมคิดว่ามันจะเป็นออกแนว Union Mall ซะมากกว่าน่ะครับ แต่ปรากฎว่าผลที่ออกมามันไม่ใช่ครับ >>> หากใครได้มีโอกาส ไปเดินดูทั้งสองห้าง จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยครับ ว่าทั้งในแง่การสร้าง Brand experience และในแง่ทราฟฟิค Terminal 21 กินขาดเลยอ่ะครับ??? จริงอยู่ที่ทำเลที่เป็นจุดเชื่อมต่อ BTS & MRT อาจจะดูได้ เปรียบมากกว่า แต่อย่าลืมว่านั่นคือแยกอโศก สุขุมวิท แยกที่หลายๆคนรู้ดีว่านั่นไม่ใช่ Shopping area แต่เป็น Working area ครับ >> คุณผู้อ่านลองคิดตามนะครับ Gateway มีอะไรที่เป็นญี่ปุ่นมั่งอ่ะครับ ผมเห็นแค่ชั้น 1 ชั้นเดียวที่มีร้านอาหารญี่ปุ่น ยิ่งชั้นใต้ดิน แทนที่จะเอาร้านเครื่องเขียนเจ๋งๆจากประเทศญี่ปุ่นมา ดันเอา Office Depot มาซะอีก และยิ่งเป็นชั้นบนๆ ไหงกลายเป็นพันธ์ทิพไปซะหยั่งงั้นอ่ะครับ มีแผนโปรแกรมขายอีกต่างหาก!?! ในทางตรงกันข้ามคนที่เดิน Terminal 21 กลับรู้สึกถึงความเพลินในการเดิน สนุกกับการถ่ายภาพ landscape ที่เป็นสัญลักษณ์ market street จากประเทศต่างๆ ทั้งๆที่ในทาง Operation แล้ว Terminal 21 นั้นมีการทำงานที่ยากกว่าด้วยซ้ำ เพราะจำนวนร้าน retail มากกว่าเยอะ แต่ร้านเหล่านั้น แบรนด์เหล่านั้น กลับสามารถถูกวางครอบเอาไว้โดย master brand ที่เป็น market street ของแต่ละชั้น ได้อย่างเนียนตา และสัมผัสได้ถึงประสบการณ์การช้อป ในประเทศต่างๆที่ทางเจ้าของห้างอยากให้เป็นได้อย่างดีเยี่ยม!!!
เมื่อ ไม่นานมานี้มี case study เก๋ๆจาก landloard ชื่อดังของเมืองไทยอย่างสำนักงานทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการเปิดตัว Neighborhood commercial space ที่ชื่อว่า ZY Walk บนทำเลจุฬา ซอย 5 ภายใต้แนวคิดชิโนโปรตุกีส หรือสถาปัตยกรรมลูกครึ่งจีน-โปรตุเกส เพื่อหวังให้เป็นไชน่าทาวน์แห่งที่ 2 ของกรุงเทพฯ ด้านโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย อาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น จำนวน 7 อาคาร มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 200 ตร.ม. จำนวนทั้งสิ้น 124 ยูนิต แบ่งเป็น โซนแฟชั่น สุขภาพและความงาม ธนาคาร สถานกวดวิชา อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น >> โครงการนี้มีพื้นที่ทั้งโครงการขว้างขวางพอสมควรครับ (ประมาณ 10 ไร่) จุดเด่นของเค้านอกจากในแง่ทำเล และ landscape แล้ว ก็น่าจะเป็นการคัดเลือกผู้ทำการค้าพอสมควรนะครับ เนื่องจากเป็นรูปแบบการเซ้งระยะเวลา 20 ปีด้วยจำนวนเงิน 12 ล้านบาท…ซึ่งก็น่าติดตามกันต่อไป มากๆครับ ว่าเมื่อโครงการสร้างเสร็จแล้วจะ ‘โดนใจ’ กลุ่มลูกค้า มากน้อยแค่ไหน
- อย่ามองเห็นกลุ่มเป้าหมายเป็นเพียงแค่ neighborhood >> อันนี้ผมเคยกล่าวเอาไว้ส่วนหนึ่งในบทความ Nostragic Marketing ว่า สิ่งที่ชี้วัดถึงความสำเร็จของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์การตลาดถวิลหาอดีต อย่างเช่น Asiatique The River Front ไม่ใช่เพียงแค่การมีกลุ่มคนสูงวัย + คนละแวกนั้น มาเที่ยวเท่านั้น แต่ต้องมาจากการบอกต่อปากต่อปาก และแวะมาเยี่ยมชมด้วยตาตัวเอง ของกลุ่มคนจากละแวกอื่นๆครับ
- การสร้าง landscape ควรที่จะสร้างให้ครบตามหลักการทำ Holistic Branding ไม่ใช่ว่าสัก แต่การสร้างสัญลักษณ์ จุดถ่ายภาพ หรือชื่อคอนเซฟท์ของโครงการ


- ควรมี Magnet เป็น well known specialty stores มากกว่า 1 อย่าง เช่น เสนาเฟสท์มี Villa market, Terminal 21 มี Gourmet Market และ SF รวมถึง Service Hotel อย่าง Centerpoint และจามจุรีสแควร์มี Banking Zone






- ควรปรับเปลี่ยน revenue model ซะใหม่ ให้มันแตกต่างจากตลาดส่วนใหญ่
- อย่าให้ retail space ของคุณอยู่นิ่งๆว่างๆ ตลอดเวลา