เราจะเพิ่ม GDP ไทย ให้โตเกิน 5% ต่อปี ได้อย่างไร ? ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม
ประเทศไทยเราควรมี GDP หรือการเติบโตของผลิตภัณฑ์รวม ไม่เพียงแต่ให้มากกว่าร้อยละ 5 ต่อปี แต่ต้องให้เติบโตในอัตรานี้ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้รายได้คนไทยเฉลี่ยประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน จะได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 37,000 บาทต่อเดือน ใกล้เคียงกับมาเลเซียในปัจจุบัน แต่ก็ยังคงเป็นเพียงประมาณหนึ่งในสาม ของรายได้คนไต้หวัน และเกาหลีใต้ ในปัจจุบันเท่านั้น
เราอยากเห็นคนไทยเลิกจน ใช่ไหม ?
เราอยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามกับดักความยากจน ไปสู่ประเทศพัฒนาที่ไร้คนจน ซึ่งต้องควบคู่กับนโยบายการกระจายรายได้ที่ดีด้วย
หลายๆ คนบอกว่าประเทศไทยกำลังจมปลัก ถอยหลังเข้าคลอง จากที่เศรษฐกิจเคยโตเกิน 5% ต่อปี เดี๋ยวนี้เหลือ 2%
หลายๆ คนบอกว่ามองไม่เห็นอนาคต แล้วเราจะมีวิธีอย่างไร ?
ลองดูประเทศที่ GDP Growth ย้อนหลัง 10 ปี ที่โตประมาณ 5% ต่อปี ได้แก่:
– Singapore: 6.92%
– Vietnam: 6.20%
– China: 5.79%
– Hong Kong: 5.48%
– Philippines: 5.20%
– Malaysia: 4.90%
ประเทศไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมล่าสุดปีละประมาณ 18,579 ล้านล้านบาท ถ้าจะให้ GDP โต 5%
ต่อปี ก็คือ มูลค่า 928,950 ล้านบาทต่อปี ล่าสุดเราจะทำได้แค่เพียง ประมาณ 2% ต่อปี คือ 371,580 ล้านบาท ซึ่งจะต้องทำเพิ่มอีก 557,370 ล้านบาทต่อปี
ประเทศที่มี GDP Growth โตเกิน 5% ต่อปี เขามีวิธีทำกันอย่างไรบ้าง
จีน ใช้วิธีการลงทุนพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆจำนวนมาก รวมทั้งการสร้างเมืองใหญ่ Shenzhen ในยุค ’80, Pudong ในยุค ’90 เอื้ออำนวยให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ป้องกันภัยพิบัติได้ดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และสร้างงานต่างๆ เพิ่มมาก ทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก การมีรถไฟความเร็วสูงและระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เป็นการสานสายใยให้ลูกหลานชนบทที่ไปทำงานในเมืองใหญ่ติดต่อและกลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ง่ายขึ้นมาก…
สิงคโปร์ ใช้วิธีการลงทุนในสถาปัตยกรรมและสิ่งแวดล้อม ที่เริ่มตั้งแต่ที่อยู่อาศัยเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต่อเนื่องด้วย Opera House สนามกีฬายักษ์, Entertainment Complex, Gardens by the Bay, Museum ฯลฯ สร้างจุดขายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลางการเงิน การค้า การลงทุน และความง่ายในการทำธุรกรรมของธุรกิจต่างๆ (Easy of Doing Business) ทำให้ประเทศก้าวหน้าขึ้น เทียบกับประเทศชั้นนำของโลก
UAE พลิกทะเลทรายให้กลายเป็นเมืองใหม่ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างผิดหูผิดตา ที่ไม่มีใครคิดถึง ด้วยการสร้างนวัตกรรมและสถาปัตยกรรมล้ำสมัย เช่น เมืองกลางทะเล Palm Jumeirah 1 ต่อด้วย Palm Jumeirah 2 ที่ใหญ่กว่าเดิม, อาคารระฟ้า Burj Khalifa, The Grand Mosque, Louvre Museum, Guggenheim Museum เป็นต้น ประกอบกับมาตรการทางภาษีที่จูงใจชาวต่างชาติมาก และเอื้ออำนวยให้ซื้ออสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยได้ง่าย…ฯลฯ
ในเมื่อรัฐบาลไทยต่างๆ ที่ผ่านมาได้พยายามใช้วิธีการต่างๆ ในการเพิ่มรายได้จากการส่งออก และรายได้จากการท่องเที่ยว รวมกันให้มากกว่าการนำเข้า (Export-Import) พยายามกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน (Consumption) พยายามส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (Private Investment) และการลงทุนภาครัฐในด้านต่างๆ (Government Spending) โดยรวม แล้วทำให้เศรษฐกิจโตได้เพียง 2% ต่อปีเท่านั้น
จะมีความหวังมากขึ้น เมื่อหันมาดูจังหวัดหนึ่งของไทย ที่มีสถิติการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ในรอบ 10 ปี = 8.3% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของทั้งประเทศมาก คือ “ภูเก็ต”
ทั้งนี้ เพราะ “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดที่เปิดกว้าง มีชาวต่างชาติมาพำนักและทำงานใน “ภูเก็ต” (ยังไม่นักท่องเที่ยว) ประมาณ 33,068 คน จากประชากรทั้งสิ้น 429,583 คน หรือประมาณ 7.7% หรือประมาณ 5 เท่าเศษ เมื่อเทียบสัดส่วนของชาวต่างชาติทั้งประเทศที่มีเพียง 1.5% ของประชากรทั้งหมด
อนึ่ง ประชากรไทยในจังหวัด “ภูเก็ต” เพิ่มขึ้นมาตลอดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ย 1.05% ต่อปีหรือ 11.1% ในรอบ 10 ปี
การมีประชากรเพิ่มขึ้น รวมกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่ม ทำให้การอุปโภค บริโภคเพิ่มขึ้น ที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นกระจายไปทั่วเกาะ
การเพิ่มขึ้นของประชากรทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เศรษฐกิจใน “ภูเก็ต” เติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ประชากรไทยทั้งประเทศกลับค่อยๆ ลดลง
จะไม่มีวันเป็นไปได้เลย ถ้าเราไม่คิดใหญ่ และเอาจริง…
ถ้าประเทศไทยจะสร้าง Mega Project ที่มีประโยชน์ ที่จะมาเสริมเพิ่ม GDP จะเป็นไปได้ไหม ?
ที่ผ่านมา รัฐฯ พยายามเข้าลงทุนในสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ แต่ด้วยข้อจำกัดของหนี้ภาครัฐฯ (Public Debt) ต้องไม่เกิน 60% ของ GDP จึงทำให้โครงการดีๆ จำนวนมากต้องถูกระงับการพิจารณาหรือต้องเลื่อนออกไป
ที่จริงแล้ว ประเทศไทยควรใช้ศักยภาพที่ตั้งของภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์ ถ้ารัฐฯ ใช้วิธีการรัฐฯ-ราษฎร์ ร่วมทุน (Public Private Partnership) หรือ PPP โดยใช้เพียงทรัพยากรที่มีอยู่ของรัฐฯ ส่วนใหญ่ คือ ที่ดิน และรัฐฯ ใช้อำนาจที่รัฐมีอยู่ในการออกใบอนุญาตให้สัมปทาน และออกกฎเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้โครงการต่างๆ เป็นไปได้ ก็จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้จำนวนมาก ทำให้เศรษฐกิจประเทศเจริญก้าวหน้า คนมีงานทำมากขึ้น และรายได้ดีขึ้น



