กูรูจักรวาล Metaverse ระดับโลกชี้ Metaverse มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด พร้อมนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกในทุกมิติ
ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเห็นพ้อง Metaverse เทคโนโลยีโลกเสมือนสุดล้ำมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดทั่วโลกมุ่งวิจัยต่อยอดการสร้างอาณาจักรใหม่ เน้นนำมาเชื่อมโยงกับโลกแห่งความจริงให้พัฒนาไปสู่ความสุขที่ยั่งยืนได้จริงในทุกมิติ
– งานฟอรั่ม Metaverse Unlimited เปิดมิติใหม่แห่งองค์ความรู้ ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเข้าร่วม Translucia Metaverse
– กูรู Metaverse ชั้นแนวหน้าจากทั่วโลกชี้แนวโน้ม Metaverse สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Translucia ที่เน้น เชื่อมต่อโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน เพื่อสร้างความสุข สมดุลอันยั่งยืนให้กับทุกคน
– เมกาเทรนด์ Metaverse ปรากฏการณ์ใหม่ กำลังมาเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ เพื่อคุณภาพชีวิต สังคม เศรษฐกิจและการศึกษาที่ดีขึ้น
– ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเรียกร้องทุกภาคส่วนให้ร่วมพัฒนากฎกติกาให้ทุกคนใช้งาน Metaverse อย่างมีความรับผิดชอบ
วิทยากรผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Metaverse) ชั้นแนวหน้าจากนานาชาติ ระบุว่า Metaverse มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด สามารถนำมาช่วยเปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต แก้ปัญหาเชิงเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม การศึกษา สาธารณสุข ไปจนถึงสร้างสันติภาพให้กับมวลมนุษยชาติในบริบทโลกแห่งความจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เหล่ากูรูระดับโลกมารวมตัวกันในงาน ‘Metaverse Unlimited’ ฟอรั่มออนไลน์ด้าน Metaverse ระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อวันที่ 15-16 ธันวาคม ที่ผ่านมา จัดโดย Translucia Metaverse บริษัททีแอนด์บี มีเดีย โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ในงานนี้วิทยากรทุกท่านร่วมแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์และโครงการวิจัยต่าง ๆ ซึ่งล้วนมุ่งขับเคลื่อนอาณาจักรโลกเสมือนให้มาบรรจบกับโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อทำให้โลกพัฒนาในทิศทางที่ดีขึ้น
พีพี-พัทน์ ภัทรนุธาพร ผู้ช่วยนักวิจัยและนวัตกรชาวไทยจากสถาบัน MIT Media Lab ระบุว่าทิศทางการพัฒนาของ Metaverse กำลังก้าวไปสู่จุดที่สามารถประมวลผล ระบุปัญหา หาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ตลอดจนทำการผลิตสิ่งที่บริโภคได้จริงในโลกความเป็นจริงได้ในอุปกรณ์ชิ้นเดียว
ในงานฟอรั่ม Metaverse Unlimited พีพี ยกตัวอย่างงานเทคโนโลยีชีวภาพของสถาบัน MIT Media Lab ที่อยู่ระหว่างการวิจัยขณะนี้ว่าเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะใช้สวมใส่เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพได้อย่างครบวงจร โดยอุปกรณ์นี้เรียกว่า wisdom device สามารถตรวจจับความเจ็บป่วย บ่งชี้การทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของผู้สวมอุปกรณ์ได้อย่างแม่นยำ สามารถวินิจฉัยโรคพร้อมผลิตยาขึ้นมารักษาอาการดังกล่าวได้ด้วยตัวเอง
พีพี ยังเสนอไอเดียอีกว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถนำมาใช้ปฏิวัติระบบการศึกษาได้ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ AI สร้างคาแรคเตอร์ในโลกเสมือนเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ อย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หรือตัวละครดังอย่างแฮรี่ พ็อตเตอร์ เป็นครูสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆแทนที่การใช้ครูจริง “วิธีนี้จะช่วย “เพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้ออนไลน์” เพราะนักเรียนมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับคาแรคเตอร์เหล่านี้” พีพี กล่าว
เจเรมี ไบเลนซัน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ Virtual Human Interaction มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวเสริมว่า VR ส่งผลดีต่อการพัฒนาเชิงสังคมได้จริง โดยเขายกตัวอย่างการศึกษาของสถาบัน ซึ่งทำการวิจัยโดยให้นักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์กับอวตารของตนเอง ซึ่งอวตารนี้มีวัย เพศและเชื้อชาติที่ต่างจากตัวตนที่แท้จริง จากผลจากการศึกษาพบว่าประสบการณ์นี้ช่วยให้นักเรียนมีความเห็นอกเห็นใจคนที่มีภูมิหลังต่างจากตนเองมากขึ้น
นอกจากนี้ เทคโนโลยี VR ยังช่วยกระตุ้นสำนึกคนให้ร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใส่ใจปรับปรุงความรู้พื้นฐานที่จำเป็นของตนเองมากขึ้น เพราะ ในโลกเสมือนจริง คนสามารถลงมือทำสิ่งต่าง ๆเรียนรู้ประสบการณ์บางอย่าง ที่ในโลกความจริงคนเราไม่สามารถทำได้
“เทคโนโลยีนี้จะช่วยเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อผู้อื่น” เจเรมี กล่าว “และเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณเห็นโลกในมุมมองใหม่ได้”
เดวิด เบร ผู้บริหารสูงสุด องค์กร LeadDoAdapt Ventures และผู้ทรงคุณวุฒิจากสถาบัน Stimson Center และ Atlantic Council ชี้ว่าเทคโนโลยี Metaverse สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมสันติภาพและแก้ปัญหาสังคมโดยการเปิดโอกาสให้ผู้ที่อยู่อาศัยในอีกมุมโลกได้ออกเดินทางทำความรู้จักผู้คนต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรมทั่วทุกมุมโลกและสามารถมีส่วนร่วมกับพลเมืองท้องถิ่นนั้น ๆในโลกเสมือนจริงได้โดยไม่ต้องเดินทางไปด้วยตนเอง
เดวิด ย้ำว่าประสบการณ์เสมือนจริงที่คนได้รับจากโลก Metaverse นี้จะช่วยให้ผู้คนตระหนักรู้ถึงปัญหาข้อขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำและอคติที่ผู้คนในประเทศเหล่านั้นกำลังเผชิญอยู่ ทำให้มีความเข้าใจกันมากขึ้น
ขณะเดียวกัน วิทยากรเจ้าของฉายา เจ้าแม่โลกเสมือนจริง (Godmother of Metaverse) ในวงการแบรนด์ดิ้งระดับโลก เคธี่ แฮ็กเคิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริหารเมตาเวิส เดอะ ฟิวเจอร์ส อินเทลลิเจนท์กรุ๊ป (The Futures Intelligent Group) ให้นิยาม “Metaverse” ว่า เป็นที่หลอมรวมโลกดิจิทัลกับโลกจริงเข้าไว้ด้วยกัน เป็นที่ที่ทุกสิ่งเป็นไปได้และให้โอกาสไม่มีที่สิ้นสุด
เคธี่ กล่าวว่า Metaverse เป็นโลกใบใหม่ที่เกิดจากการผสานเทคโนโลยีหลากแขนงเข้าไว้ด้วยกัน อาทิเช่น AR, VR, Blockchain, non-fungible tokens (NFT) เป็นต้น ทำให้จักรวาลโลกเสมือนนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในหลายรูปแบบ ไม่ใช่เกมออนไลน์แต่ยังใช้ในอุตสาหกรรมความบันเทิงรูปแบบอื่น ๆรวมถึงการสร้างแบรนด์ การตลาด ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของโลกความจริงได้ เคธี่มองว่า Metaverse ควรเป็นโลกที่ทุกคนมีส่วนร่วมสร้าง พัฒนาและนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ
“ที่นี่มันไม่ได้มีแค่เทคโนโลยีเดียวและไม่ใช่แค่บริษัทเดียว” เคธี่ยังย้ำอีกว่า “ในโลกเสมือนนี้ ไม่มีใครควรต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” “ที่จักรวาล Metaverse พวกเราทุกคนคือผู้ร่วมสรรค์สร้าง”
ขณะเดียวกัน อัลเลน เชสไน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิเคราะห์ข้อมูลและงานคอมพิวเตอร์กราฟิก ผู้อยู่เบื้องหลัง Maya 3D ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ใช้สร้างฉากใน หนังดัง “Avatar” ระบุว่า Metaverse ไม่ใช่สิ่งใหม่ แท้จริงแล้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยีนี้มานานกว่าห้าทศวรรษแล้ว แต่มาเริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายจากการพัฒนาขึ้นเป็นเกมออนไลน์ ซึ่งเปิดโอกาสให้เกมเมอร์สร้างอวตารของตนเองได้ในโลกเสมือนจริงจึงได้รับความนิยมอย่างสูง จนมีการพัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึงสร้างชุดอุปกรณ์ล้ำสมัยขึ้นมารองรับความต้องการ
อัลเลน เสริมว่า ทุกวันนี้ จักรวาลโลกเสมือนได้วิวัฒนาการมาถึงจุดที่ทุกคนต่างต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ผู้เล่นรายใหญ่ ๆ ในวงการเทคโนโลยี จึงควรยอมรับมาตรฐานการจัดการคอนเทนต์และการใช้งานร่วมกัน
ในวงการสถาปัตยกรรมก็มีการนำเทคโนโลยีโลกเสมือนมาใช้ในการออกแบบเช่นกัน โดยไม่เพียงแค่ตอบโจทย์เรื่องความสวยงามสนองความต้องการของผู้อยู่ได้ตรงตามความต้องการเท่านั้น ยังช่วยคงคุณค่าเชิงวัฒนธรรมได้อีกด้วย เศณวี ชาตะเมธีวงศ์ ผู้ก่อตั้ง DesireSynthesis สตูดิโอออกแบบสถาปัตยกรรม กล่าว