The Sweet Escape: atta – lakeside resort suite “อัตตา” (Atta) มีความหมายว่า “ตนเอง” ในภาษาสันสกฤต สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติ สายน้ำของทะเลสาปอันเงียบสงบ สีของภูเขาและท้องฟ้าภายในรีสอร์ทที่สวยงามแห่งคีรีมายา ที่ซึ่งหลอมรวมเอาความสมบูรณ์ในด้านสภาพแวดล้อม และความสะดวกสบายแสนทันสมัยเข้าไว้ด้วยกัน ที่อัตตาเราจะได้ค้นพบประสบการณ์การใช้ชีวิตแบบใหม่ ในที่ที่ความรู้สึกของตัวเองกลายเป็นชีวิตที่ประสานสอดคล้องกันกับธรรมชาติ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญจากทาง บริษัท คีรีมายา จำกัด ให้ไปร่วมทริปงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “อัตตา เลคไซด์ รีสอร์ท สวีท”(Atta Lakeside Resort Suite) รีสอร์ทและคอนโดมิเนียมสุดหรู บนสุดยอดทำเลริมทะเลสาบติดเขาใหญ่พร้อมบริการระดับเวิลด์คลาสแห่งเดียวบนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางธรรมชาติเขาใหญ่ จำนวน 243 ยูนิต ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 1,980 ล้านบาทครับ …อัตตา ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ภายในโครงการคีรีมายา ที่มีพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ อันประกอบไปด้วย คีรีมายา รีสอร์ท, คีรีมายา เรสซิเดนซ์, สนามกอล์ฟระดับโลก 18 หลุม 72 พาร์ที่ออกแบบโดย แจ๊ค นิคลอส, มิติ, มุติมายา และ อัตตา…ภายในงานแถลงข่าวนี้ทางคุณกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานที่ปรึกษา บริษัท คีรีมายา จำกัด ได้เปิดเผยว่า ‘ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความสำเร็จที่ผ่านมา จากการรังสรรค์ คีรีมายา กลอ์ฟ แอนด์ สปา รวมถึงเรสซิเดนส์ระดับไฮเอนด์ในรูปแบบบ้านพักตากอากาศ ที่มีดีไซน์แตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้เป็นสุดยอดที่พัก และรีสอร์ทหรูติดอันดับสถานที่พักผ่อนในดวงใจของบรรดานักท่องเที่ยวทั้งในประเทศ และต่างประเทศจนเป็นที่ยอมรับในความเป็น Prestige Destination ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์การพักผ่อนในบรรยากาศท่ามกลางขุนเขา และธรรมชาติแบบหรูหรามีระดับมาแล้ว อีกทั้งยังสามารถทำให้เขาใหญ่จากที่คนไทยลืม และโลกไม่รู้จักกลับมาเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี มูลค่าของที่ดินบริเวณเขาใหญ่ที่เพิ่มสูงขึ้นมากในรอบ 10 ปีนับจากการมาของคีรีมายา ในปีนี้บริษัทฯ มีแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจท่องเที่ยวเขาใหญ่ การโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และต่อยอดความสำเร็จ โดยล่าสุดบริษัทฯเดินหน้าเปิดตัวรีสอร์ท และคอนโดมิเนียมสุดหรู อัตตา เลคไซค์ รีสอร์ท สวีท บททำเลระดับพรีเมี่ยม ริมทะเลสาบที่ทุกห้องสามารถสัมผัสวิวธรรมชาติของอุทยานเขาใหญ่ ภายใต้คอนเซปต์ “Rise above on Earth” สวรรค์ที่แท้จริงบนทำเลสวยที่สุดของเขาใหญ่ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำและเปิดประสบการณ์อันไม่อาจลืมเลือนให้ลูกค้าได้สัมผัสความหรูหรา ความงดงามชั้นสูงที่ผสานความสะดวกสบายอย่างลงตัว ด้วยสถาปัตยกรรมที่แฝงกายแนบสนิทไปกับธรรมชาติ พร้อมมอบทิวทัศน์เขียวขจีในทุกมุมมอง ทุกห้อง ทุกชั้น ให้คุณซึมชับบรรยากาศริมฝั่งทะเลสาบอันสวยงามบริสุทธิ์ที่รายล้อมอย่างเต็มที่ พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางคุณกิตติได้เปิดงานด้วยการฉายภาพความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่เรียกได้ว่ามีครบที่สุด และมีจำนวนห้องพักเยอะที่สุดในเขาใหญ่ ในแบบที่คงจะไม่ได้เห็นโครงการระดับนี้ในอีก 15 ปีต่อจากนี้ครับ ซึ่งคุณกิตติยังได้อธิบายถึงคีรีมายาว่า เปรียบดั่งหญิงสาวสวยงามตามธรรมชาติ ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่งหรือ make up ใดๆ…ทางทีมงานผู้ออกแบบจึงได้รังสรรค์โครงการออกมาให้รักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติ และถ่ายทอดเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยให้มากที่สุด โดยเน้นสถาปัตยกรรมที่ใกล้เคียงธรรมชาติ เช่น การใช้วัสดุที่เป็นไม้ หิน และเหล็กแบบหยาบๆเรียบๆ และการตกแต่งภูมิทัศน์ให้กลมกลืนไปกับป่ารอบโครงการ ไม่ใช่สวนประดิษฐ์แบบโรงแรมทั่วไป สนามกอล์ฟ 18 หลุมภายในโครงการคีรีมายา ที่ออกแบบโดย Jack Nicklaus ผมได้มีโอกาสไปขับรถเล่นในสนามมา พบว่ามี contour สวยจริงดังคำกล่าวครับ โครงการ อัตตา เลคไซค์ รีสอร์ท สวีท หรือ atta The Condo ที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ จริงๆแล้วไม่ได้มีจุดเด่นเพียงแค่การเป็นคอนโดตากอากาศระดับ High end ในทำเลที่แนบชิดกับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่แบบสุดๆเท่านั้นครับ แต่อยู่ที่การนำคอนเซปท์ Time Sharing มาใช้ในแบบที่ค่อนข้างโดดเด่นกว่าที่อื่นครับ…กลยุทธ์การขายแบบ Time sharing นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ใหม่ในตลาดครับ ในตลาดโลกเจ้าที่ประสบความสำเร็จก็มักจะเป็น developer ที่มี core competency ในธุรกิจ Hospitality เช่น Chain โรงแรม Marriott เพราะว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ซื้อยอมรับก็คือการดูแลรักษาสภาพห้อง และบริการในระดับ world class เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในการปล่อยเช่าต่อครับ…แต่แพคเกจ Time Sharing ของ Marriott Vacation Club นั้นยูนิตนึงก็มีคนมาแชร์ความเป็นเจ้าของด้วยจำนวนหลายสิบ – ร้อยคน แถมยังต้องจ่ายค่าส่วนกลางเป็นทั้งรายเดือนและรายปี ชนิดที่ว่าถ้าคุณไม่ได้มีงานประจำเป็นนักท่องเที่ยวทั่วโลกซื้อไปยังไงก็ไม่คุ้มครับ แพคเกจการขายแบบ Time Sharing ของอัตตา ใช้ชื่อว่า Leaseback program ครับ มีความแตกต่างก็คือ 1 unit มีความเป็นเจ้าของแค่คนเดียว เจ้าของห้องมอบหมายให้ทีมงานคีรีมายาไปบริหารจัดการด้านการปล่อยเช่าห้องต่อ แต่เพียงผู้เดียว โดยที่ตลอดระยะเวลาของสัญญา Leaseback program เจ้าของห้องก็ไม่ต้องเสียค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง ค่าแม่บ้าน ฯลฯ อะไรเลยครับ รอรับค่าเช่าที่มีการการันตีค่าเช่าขั้นต่ำให้ พร้อมกับได้สิทธิ์เข้าพัก 30 คืนใน 1 ปีครับ ยกตัวอย่างผลตอบแทนง่ายๆดังนี้นะครับ ซื้อห้องขนาด 1 นอน 65 ตรม. ราคา 7 ล้านบาท ได้ห้องเป็น Fully Furnished มีรายการ Furniture + Prop พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าครบเซ็ทตามด้านล่างนี้ หากต้องการเข้าร่วมโครงการ Leaseback ห้องนี้จะได้ค่าเช่าเป็นรายเดือน เดือนละ 17,000 บาทครับ (แต่สำหรับห้องสองนอนจะได้เดือนละ 25,000 บาท) คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 2% ต่อปี โดยที่เจ้าของห้องไม่ต้องเสียค่าส่วนกลาง ค่าแม่บ้าน ค่าไฟ เฉลี่ยเดือนละ 15,000 บาท หรือคิดเป็น 2% รวมไปถึงค่าน้ำ + ค่าบำรุงรักษาก็ไม่ต้องเสียเช่นกัน ในมูลค่าราวๆ 2% = เบ็ดเสร็จแล้วเจ้าของห้องก็เหมือนกับได้ retrun คืนเป็นมูลค่าราวๆ 6% ต่อปีครับ...นี่ยังไม่รวมดีลที่ extra ขึ้นมาอย่างเช่น ถ้ามีแขกเข้าพักเกินกว่า 130 คืนใน 1 ปี รายได้จากคืนที่เกินมาจะถูกแบ่ง 1 ใน 3 ให้ เจ้าของห้อง (จากข้อมูลของคุณกิตติ พบว่า Occupancy rate ของคีรีมายาอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 60% ต่อปี ถ้าเป็นไปตามนี้รายได้ในส่วนที่เกินกว่า 130 คืนก็จะถูกทบคืนให้กับเจ้าของห้องด้วยครับ) ภายใต้ดีลนี้เจ้าของห้องสามารถใช้สิทธิ์ในการเข้าพักได้ปีละ 30 วัน โดยแบ่งเป็น 15 คืนในช่วง weekends และ 15 คืนในช่วง weekdays แต่ถ้าเข้าพักเกินกว่านี้จะเสียคืนละ 2,000 บาทสำหรับห้อง 1 นอนในช่วง weekdays และคืนละ 5,000 บาทในช่วง weekends หากเป็นห้องขนาดสองนอน ก็จะเสียคืนละ 2,500 บาทในช่วง weekdays และ 7,500 บาทในช่วง weekends…ผมว่าเป็นทางเลือกที่ดูจะเหมาะสมมากกับกลุ่มเป้าหมายที่มองหาบ้านหลังที่สองในทำเลเขาใหญ่ครับ อย่างน้อยก็มีคนช่วยดูแลห้องให้เป็นอย่างดี และยังได้ return กลับมาทั้งในรูปแบบค่าเช่า และก็ประหยัดค่าบำรุงรักษา + ค่าส่วนกลางไปในตัว…คุณกิตติยังได้กล่าวเสริมอีกว่าหากสัญญาหมดลงเมื่อไหร่ก็ค่อยมาพิจารณาร่วมกันอีกทีกับเจ้าของห้องว่า สัญญาที่จะทำใหม่ควรจะ share profit กันอย่างไรให้ win – win กันทั้งสองฝ่าย ใครที่เคยเป็นลูกค้าของโครงการมุติมายาก็คงรู้ครับว่าที่นี่มีอัตราปล่อยเช่าดีแค่ไหน โดยเมื่อครั้งที่มุติมายาเปิดขายนั้น ขายในราคาหลังละเฉลี่ย 15 ล้านบาท แต่ปล่อยเช่าได้คืนละ 10,000 บาทในช่วง weekend และ 8,000 บาทในช่วง weekday ครับ…ตีเหมาๆแล้วเดือนนึงต้องมีอย่างต่ำ 150,000 บาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนขั้นต้น 12% ต่อปีครับ!!! ใครพลาดไปเสียดายกันไหมครับ? Credit ภาพ มุติมายา: muthimaya Master Plan ของโครงการอัตตา มีทั้งหมด 9 ตึก ไม่รวมตึกที่เป็น Club House ประกอบด้วย ล้อบบี้ สระว่ายน้ำ และร้านอาหารเทปันยากิ ครับ…ตึก 1 อยู่ซ้ายสุดจะเป็นตึกที่ติดกับทางเข้าออกโครงการ ส่วนตึก 7,8,9 จะมีข้อดีตรงอยู่ติดกับ Club house (แต่จริงๆโครงการบริการรถ golf รับส่งระหว่างตึกให้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ สะดวกมากจริงๆ) ยูนิตทั้งหมดเป็น single corridor มีระเบียงหันเข้าหาทะเลสาปของโครงการครับ Club house ของโครงการ เป็นล้อบบี้ส่วนกลางครับ เวลาจะมา check in + check out ทานข้าว หรือว่ายน้ำก็ต้องมาที่ตึกนี้ครับ…ชั้นสองเป็นร้านอาหารเทปันยากิครับ ถ้าใครที่อยากเดินทัวร์รอบโครงการก็ได้ครับ…โครงการทำทางเดินระหว่างตึก 1 – 9 ให้สองด้านครับ แต่แนะนำว่าเดินด้านรอบทะเลสาปจะดีกว่าครับ แต่ละตึกก็จะมีล้อบบี้เล็กๆเป็นของตัวเองครับ ตกแต่งแบบเดียวกันหมดทุกตึก โถงทางเดินรวมถึงล้อบบี้เป็นแบบ open air ให้ซึมซับบรรยากาศเขาใหญ่ได้อย่างเต็มที่ ตึกนึงมี 5 ชั้น และมีลิฟท์ตึกละ 1 ตัวครับแบบไม่ล้อคชั้นครับ ที่นี่นอกจากจะเป็น Single Corridor แล้วส่วนของคอยล์แอร์ยังเก็บไว้นอกห้องฝั่งที่เป็นผนังตึก ที่เห็นเป็นรูระบายอากาศนั่นหล่ะครับ อัตตา เลคไซด์ รีสอร์ท สวีท ประกอบไปด้วย ห้องพักจำนวน 243 ห้อง ได้แก่ One-Bedroom Suite จำนวน 187 ห้อง ให้คุณผ่อนคลายกับวิวทะเลสาบและเนินเขา เหมาะสำหรับผู้เข้าพักที่ต้องการดื่นด่ำไปกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม และคู่รักที่ต้องการวันหยุดเพื่อผ่อนคลายจากชีวิตเมือง ด้วยพื้นที่ที่กว้างขวาง และแยกเป็นสัดส่วนระหว่างห้องนอนและห้องนั่งเล่น พร้อมบานกระจกแบบพาโนรามาที่เพิ่มบรรยากาศในการชื่มชมทัศนียภาพของธรรมชาติอันสวยงาม ชุดเฟอร์ฯในห้องได้ตามนี้ครับ Two-Bedroom Suite มีจำนวนทั้งหมด 38 ห้อง ห้องสวีทแบบ 2 ห้องนอนของอัตตาห้องนี้มีขนาด 102.5 ตรม.ครับ เป็นที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการเข้าพักแบบครอบครัว กลุ่มเพื่อนหรือคู่รัก ด้วยห้องพักขนาดใหญ่ มีพื้นที่ของห้องนั่งเล่น พื้นที่รับประทานอาหารที่โปร่งสบาย เพียบพร้อมไปด้วยระบบความบันเทิงภายในห้องทัศนียภาพที่งดงาม ทั้งทะเลสาบ และภูเขา ทำให้ผู้เข้าพักได้ผ่อนคลายความเครียดในชีวิตประจำวันไปในตัว ชุดเฟอร์ฯในห้องสองนอนก็มีตามนี้ครับ โถงทางเดินปูกระเบื้องลายเดียวกับที่ใช้ในห้องน้ำ มีเซาะร่องทางระบายน้ำ ประตูที่ได้เป็น Digital Door Lock แบบใช้การ์ด และเอาการ์ดไปเสียบเป็น Lighting Control แบบโรงแรมครับ…ประตูทุกบานทั้งในห้องและนอกห้องสูงพื้นจรดฝ้าหมดครับ (ประมาณ 3 เมตร โดยชั้น 5 ซึ่งเป็นห้อง Penthouse จะสูงกว่านี้อีกครับ) เปิดเข้ามาเจอส่วนครัว และโต๊ะทานข้าวก่อนครับ ครัวที่นี่ไม่มีเตาไฟฟ้ากับ Hood ให้นะครับ ได้แค่อุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟอย่างเดียวครับ..ครัวดูเบสิค Top อ่างล้างมือเป็นหินสังเคราะห์สีขาว หน้าบานเป็นไม้ปิดผิวด้วยลามิเนต ไม่มี soft close กระจกเงาให้ตามรูปเลยครับ มีทำ Build in ชั้นวางรองเท้าและเก็บของให้ด้วยครับ โซนนั่งเล่น กว้างมากครับ โดยเฉพาะโซฟาตัวนี้เป็น signature ของโครงการในเครือคีรีมายาเลยครับ ใหญ่กว่าเตียง 3 ฟุตครึ่งอีกครับ…มีทีวี เคเบิลทีวี เครื่องเล่น DVD ให้ครบครับ ไปดูห้องนอนเล็กกันครับ…มีห้องน้ำในตัว วางเป็นเตียงสามฟุตครึ่งประกบกันสองเตียงครับ สามารถ แยกออกเป็น twin bed ได้ ห้องน้ำ ผมชอบลายของประตูมากครับ ผนังห้องน้ำและหัวเตียงเป็นหินขัด ห้องอาบน้ำเป็นปูนทาสี พร้อมชุด rain shower อุปกรณ์อาบน้ำได้เป็นของ Elle Spa ครับ มีมู่ลึ่ไม้ปิดบังสายตาระหว่างห้องนอนและห้องน้ำที่กั้นห้องด้วยกระจกครับ ไปดูห้องนอนใหญ่กันบ้างครับ…มีห้องน้ำในตัวขนาดใหญ่มากครับ ตู้เสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำเลย มีหน้าต่างระบายอากาศบริเวณชักโครก ระเบียงกว้างมากครับ สามารถเดินออกได้จากทั้งห้องนั่งเล่น และห้องนอนทั้งสองห้องครับ เฟรมอลูมิเนียม powder coated สีดำ แบบเลื่อนซ้าย ขวา ติดมุ้งลวดให้ด้วยครับ มีพัดลมแขวนเพดานให้ด้วยนะ วิวที่ได้ประมาณนี้ครับ นี่ถ่ายจากชั้นสอง ปกติแล้วน้ำจะเต็มล้นมาถึงขั้นบันไดไม้ริมทะเลสาปด้านล่างครับ แต่ปีนี้ค่อนข้างแล้ง น้ำไม่ค่อยมีครับ ไปดูห้อง Hi Light ของที่นี่กันครับ ห้อง Penthouse พร้อม Outdoor Private Pool อยู่บนชั้น 5 ครับ จะมีแค่ตึกละ 2 ห้องเท่านั้น Penthouse บนชั้นดาดฟ้าที่งดงามดุจสรรค์ จำนวน 18 ห้อง ขนาด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 140 ตารางเมตร พร้อมสวนส่วนตัวขนาด 95 ตารางเมตร ให้คุณได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิต พบกับความหรูหราบนชั้นดาดฟ้าที่สวยงาม ผ่อนคลายในสไตล์ร่วมสมัย กับพื้นที่ใช้สอยแบบเปิดโล่ง โปร่งสบาย รวมถึงห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องรับประทานอาหาร พร้อมของตกแต่งเชิงศิลปะ และองค์ประกอบที่แสดงให้เห็นถึงการออกแบบที่ทันสมัย เพ้นท์เฮ้าส์ทุกห้องประกอบด้วยสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาดใหญ่ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการคลายร้อนในขณะที่ได้ชื่นชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของ ภูเขาสีเขียวชอุ่ม ณ อุทยานแห่งเขาใหญ่ ชุดเฟอร์ฯของห้อง Penthouse ได้ตามนี้ครับ เปิดประตูเข้ามาเจอโถงทางเดิน พร้อมชั้นวางของเอนกประสงค์ครับ เดินไปที่ครัวก่อนครับ ห้อง Penthouse จะได้ที่ดูดควันและเตาไฟฟ้า 4 หัว เป็น Island พร้อมทำอาหารแบบจัดเต็มได้ครับ ไมโครเวฟห้อง Penthouse ได้ยี่ห้อ Smeg ครับ ส่วนห้องอื่นๆได้เป็น Samsung…น่าจัดตู้เย็นใหญ่กว่านี้ให้นะครับ ส่วนห้องนั่งเล่นใหญ่มาก สามารถเปิดหน้าต่างให้เชื่อมต่อกับระเบียงได้ถึง 2 ด้าน ด้านนึงมี Private Pool จัดงาน Pool Party ได้สบายๆ ระเบียงสองด้านสวยจริงๆครับ ห้องนอนเล็กประตูเป็นบานเลื่อนครับ…เดินเข้าห้องจะเจอตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำก่อน ได้เป็นเตียง Twin เหมือนกับห้องสองนอนครับ ห้องนอนใหญ่ครับ ตื่นเช้ามาเจอวิวแบบนี้คอยต้อนรับทุกวันครับ ^^ ห้องน้ำ ก็เป็นแบบห้องนอนใหญ่ของห้องแบบสองห้องนอนครับ ตู้เสื้อผ้าดูเล็กไปนิดนึงครับ แต่ก็น่าจะเหมาะกับการอยู่พักผ่อนแค่ไม่กี่คืน ห้อง Penthouse นี้ได้ระเบียงที่กว้างใหญ่มากๆถึงสองด้านครับ เดินออกไปดูกันดีกว่า เริ่มจากฝั่งระเบียงห้องนอนใหญ่ งานฝ้าเพดานของห้อง Penthouse จะปูด้วยไม้ มี detail เยอะกว่าห้องอื่นที่เป็นปูนทาสีครับ วิวสวยดีครับ ไปดูส่วน Pool กันบ้างครับ…Rise Above Heaven on Earth สมคำร่ำลือไหมล่ะคุณผู้อ่าน คือเห็นวิวได้ถึง 270 องศา 3 ทิศอ่ะครับ มีจากุซซีด้วยครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ ผมได้ลองไปพักที่นี่ดูแล้ว… ไม่อยากกลับบ้านเลยครับขอบอก ผมลองเช็คเรตค่าที่พักในเวปไซต์ของอัตตา เอง พบว่าไม่ว่าจะเป็นช่วง High Season หรือ Regular Season ค่าที่พักเท่ากันเริ่มตั้งแต่ 8,921 บาทครับ ทำราคาได้ดีมากจริงๆใครอยากจะซื้อ ปล่อยเช่าเองโดยไม่เข้า leaseback program ก็ได้เหมือนกันครับ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆก็คงต้องออกเอง และลูกค้าก็คงจะไม่ได้บริการอย่างอาหารเช้า และอื่นๆครับ…ถ้าคุณมีเงินเหลือๆ และกำลังมองหาคอนโดตากอากาศไว้เป็นบ้านหลังที่สอง และปล่อยเช่ายามที่คุณไม่อยู่ ผมว่าที่นี่ลงตัวสุดๆครับ ปิดท้ายด้วย Presentation ของอัตตาซักหน่อยครับ Stop. Close your eyes and breathe – slowly, deeply. You are standing on the serene shores of a gently rippling lake, surrounded by jungle-clad mountains that are shrouded by the cool morning mist. The air is perfectly pure, the only sounds are the distant calls of birds and monkeys from the forest. Your heart rate slows; you smile. You have arrived. You are at “atta”. หยุดสักพัก หลับตาลง แล้วค่อยๆหายใจเข้า อย่างช้าๆ ลึกๆ คุณกำลังยืนอยู่บนชายฝั่งอันเงียบสงบของทะเลสาปที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกจากอากาศเย็นสบายในตอนเช้า สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ ฟังเสียง นกร้องที่แว่วมาแต่ไกล และเสียงลิงที่ดังมาจากภายในป่า อัตราการเต้นของหัวใจคุณจะช้าลง และคุณจะยิ้มกว้างขึ้น… ณ บัดนี้ คุณได้มาถึงแล้วที่ “อัตตา”
Hotel Industry Trend: Boutique กับ Budget มันต่างกันนะจ๊ะ สวัสดีเดือนสุดท้ายของปี 2555 ครับ แหม…เขียนไปเขียนมา แปปเดียวก็ผ่านจะครบปีแล้วสิเนี่ย >> ผมต้องขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับ ที่ติดตามคอลัมน์ของผมมาโดยตลอด ซึ่งในรอบปีที่ผ่านมา มีคุณผู้อ่านหลายท่านทีเดียวครับที่ส่งอีเมลมาแนะนำเรื่องราว หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนเขียนมาเพื่อคุยกันเฉยๆก็มีครับ ข้อความเหล่านี้ช่วยสร้างกำลังใจ + แรงบันดาลใจในการเขียนบทความของผมไม่ใช่น้อยเลยครับ เอาล่ะครับวันนี้อาจจะมาทักทายสายหน่อยเพราะว่าผมติดภารกิจต้องไปต่างประเทศ และเพิ่งกลับมาครับ…บทความสำหรับเดือนนี้ เนื่องจากเป็นเดือนธันวาคม = เดือนแห่งการท่องเที่ยว และก็เชื่อว่าหลายๆคนตอนนี้ก็คงลาหยุดยาวกันตลอดทั้งเดือนน่ะครับ >> ผมก็เลยถือโอกาสนี้พักเรื่องซีเรียสๆของตลาดคอนโดในบ้านเราไปก่อน และพาคุณผู้อ่านไปเปิดโลกของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่าง ธุรกิจโรงแรมมาฝากกันครับ (เนื่องจากผมไม่เคยทำงานอยู่สาย โรงแรมมาก่อนหากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยกูรูแล้วกันนะคร้าบบบ ^^) ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสอ่านข่าว เกี่ยวกับรายงานสถิติของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองไทยของทาง ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ครับ โดยพบว่า “จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเที่ยวไทย 10 เดือนแรก ปีนี้ มีจำนวน 17.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 9.7% โดย 6 เดือนแรกภาคการท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศแล้ว 4.67 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แนวโน้มภาวะแวดล้อมที่เกื้อหนุน การท่องเที่ยว รวมถึงการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ภาครัฐได้ตั้งเอาไว้ในปีนี้ จำนวน 20.5 ล้านคน ส่วนแนวโน้มปีหน้าคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมีประมาณ 22.5 ล้านคน โดยปีนี้คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะมีรายได้ ประมาณ 9.2 แสนล้านบาท เป็นรายได้ของธุรกิจโรงแรมและที่พัก 2.8 แสนล้านบาท ธุรกิจจำหน่ายสินค้า 2.2 แสนล้านบาท ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 1.7 แสนล้านบาท และธุรกิจอื่นๆ 2.5 แสนล้านบาท…” >>> เป็นไงครับ แค่ได้เห็นย่อหน้าที่ quote มาให้หลายๆคนก็อาจ จะเดาว่า โอ้โห้ รัฐบาลและผู้ประกอบการธุรกิจด้านโรงแรมนี่ฟันกำไรหัวแบะเลยนิ!?!? ……หากเรามองจากบริบทและตัวเลขเพียงแค่ด้านเดียวมันก็ดูเหมือนจะใช่นะครับ แต่ถ้าเราซูมอินให้ลึกลงไปอีกก็จะพบว่า ธุรกิจโรงแรมเนี่ยแม้กระทั่ง chain ใหญ่จากต่างชาติ หรือพี่เบิ้มในบ้านเราล้วนแล้วแต่มีกำไรน้อยลงนะครับ ยิ่งธุรกิจ SMEs บางรายถึงกับเจ๊งเลยด้วยซ้ำไป!!! ทั้งนี้ทาง ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี เค้ามีหลักฐานเป็นตัวเลขมายืนยันครับว่า ไอ้ธุรกิจโรงแรมเนี่ยมันแข่งดุยิ่งกว่าตลาดคอนโดในกรุงเทพซะอีก และในหลายๆครั้งก็โดนเจ้าของคอนโดปล่อยเช่ามาแย่งตลาดอีกแหน่ะ >> นี่มัน cross category competition ชัดๆ!!! “แม้ภาวะการท่อง เที่ยวมีทิศทางสดใส แต่สำหรับผู้ประกอบการในธุรกิจนี้อาจไม่รู้สึกถึงแนวโน้มดังกล่าว เช่น ธุรกิจโรงแรมและที่พัก แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวระหว่าง 2550-2554 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7.8% ต่อปี แต่พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมและที่พักกลับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 31.4% ต่อปี ทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรม ช่วงเวลาเดียวกันเฉลี่ย 50-60% เท่านั้น แสดงให้เห็นภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่วนธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ถือเป็นภาคบริการที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงนัก ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ธุรกิจง่าย ธุรกิจจึงอยู่ในภาวะการแข่งขันที่สูงเช่นกัน ขณะเดียวกัน ภาวะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเองมีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมอย่างสูง เช่น ความวุ่นวายทางการเมือง ภัยธรรมชาติ โรคระบาด ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความพร้อมและความสมบูรณ์ของทรัพยากรการท่องเที่ยว นอก จากนี้ความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ลงทุนชาติสมาชิกสามารถถือหุ้นได้ถึง 70% ในธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการแข่งขันจากนักธุรกิจในเออีซีสูงขึ้นอีก” >>> อ้าว เข้า AEC แล้วไม่พอ ยังเอื้อให้ธุรกิจ hospitality สามารถถือหุ้นโดยต่างชาติได้อีก 70%อีกแหน่ะ อันนี้ผมว่าคนไทยหลายๆคนก็ไม่รู้เรื่องเลยนะครับ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs…. ทีนี้จะทำยังไงอ่ะครับ ค่าแรงก็ขึ้น คู่แข่งก็เยอะ ต่างชาติมาลงทุนเองโดยไม่ผ่านนอมินีได้อีก ฟังๆดูแล้วเหมือนธุรกิจนี้จะไม่รุ่งซะแล้วล่ะครับ >> ทางออกนั้น กูรู นักวิชาการหลายๆฝ่ายก็มักจะออกมาวิเคราะห์และบอกถึงแนวทางการแก้ปัญหา (แบบเดิมๆ) ครับว่าเราต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นมาในอนาคต และอ้อนวอนขอให้รัฐบาลออกมาตรการมาช่วย!!! เอ่า แล้วจะปรับตัวยังไง ไม่มีใครบอก ไอ้ครั้นจะหวังให้รัฐบาลมาช่วยก็คงจะเจ๊งไปก่อนเป็นแน่แท้…เอาล่ะครับ วันนี้ผมจะขอยกตัวอย่างของการปรับตัวในธุรกิจโรงแรม ที่เอามาจากต่างประเทศให้ฟังครับ ว่าเค้าทำกันยังไง จะรุ่งหรือจะร่วงไปติดตามกันครับ.. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าธุรกิจโรงแรมนั้น มีแหล่งรายได้มาจากนักท่องเที่ยว 3 ประเภทใหญ่ครับ 1. นักท่องเที่ยวแบบมาเที่ยวเลย จะเป็นมาเดี่ยว หรือมาเป็นกรุ๊ปก็แล้วแต่ 2. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) 3. การท่องเที่ยวเชิงกิจกรรมและความสนใจเฉพาะ (MICE) ใน จำนวน 3 ประเภทนี้ ถ้าจะวัดเชิงปริมาณนักท่องเที่ยว แน่นอนว่าแบบที่ 1 นำแน่ๆครับ แต่หากนับในเชิง ปริมาณและรายจ่ายต่อหัวที่ได้รับจากนักท่องเที่ยวนี่สิ อันดับที่ 2-3 เรียกภาษาชาวบ้านว่า “จ่ายหนัก” กว่าแบบที่ 1 แน่ๆครับ ….. นักท่องเที่ยวประเภทที่ 1 ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว เพราะทุกคนคงจะรู้จัก แต่ประเภทที่ 2 กับ 3 นี่ถือว่าเป็นตลาดใหม่ และสดใส นำพาเงินเข้าประเทศมากมายมหาศาลในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมานะครับ การ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) เนี่ยหากอธิบายอย่างง่ายๆก็คือ การที่ชาวต่างชาติเดินทางมาเมืองไทย เพื่อเข้ารับการรักษา บำบัด หรือใช้บริการอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น นวดแผนไทย ตรวจสุขภาพ รักษาโรค ทำศัลยกรรมความงาม ทำสปา แปลงเพศ ทำฟัน ฯลฯ ที่สถานพยาบาลในเมืองไทย นั่นเองครับ เมื่อเดือนที่แล้วนี้ เอง ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เคยทำการสำรวจเอาไว้ว่า “จากข้อมูลในการศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพทางการตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (พิจารณาเฉพาะชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาใช้บริการด้านสุขภาพจากโรงพยาบาล เอกชนในไทย) ซึ่งได้ประมาณการว่าในปี 2555 ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 1,740,000 ล้านบาท ( 58,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยภูมิภาคเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ร้อยละ 15 ของมูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพโลก หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.7 แสนล้านบาท” ตัวเลขดังกล่าวเราเป็นที่สองของอาเซียน รองก็แค่สิงค์โปร์เองนะครับ >>> และหากจะซูมอินลงไปก็จะพบว่า ค่าใช้จ่ายของ Medical tourist (เฉพาะนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเซียน) ที่ใช้กับธุรกิจเกี่ยวเนื่องกันอย่างที่พักเนี่ยเป็นมูลค่าถึง 1,370 ล้านบาท อันนี้ยังไม่รวมค่าบริการสปา นวดไทยจากสถานบริการนอกโรงพยาบาลที่มีอีก 1,530 ล้านบาท….แค่นับเฉพาะคนอาเซียนด้วยกันเองยังขนาดนี้ แล้วนับทั่วโลกจะขนาดไหนเนี่ย? สำหรับกลุ่ม MICE (Meeting, Incentive Travel, Convention and Exhibition) หมายถึง ตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวประเภทที่เดินทางเข้ามาเพื่อเข้าร่วมประชุมสัมมนา แสดงนิทรรศการหรือแสดงสินค้านานาชาติ รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล เกิดขึ้นครั้งแรกในยุโรปราวศตวรรษที่ 19 ต่อมาขยายสู่ภูมิภาคอเมริกา และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะแพร่หลายมายังเอเชีย โดย MICE เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม 4 ประเภท ซึ่งสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวอาเซียน (Asian Association of Convention and Visitor Bureaus : AACVB) ได้จำแนกกิจกรรมดังกล่าวไว้ดังนี้ (ขออนุญาต copy เลยนะคร้าบ) M : Meeting (การประชุม) หมายถึง การประชุมของกลุ่มบุคคลหรือองค์กรหนึ่งเพื่อทำกิจกรรมเฉพาะโดยจะจัดเป็นการ เฉพาะกิจและมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เช่น การประชุมประจำปี การประชุมคณะกรรมการ เป็นต้น โดยอาจจำแนกเป็น 3 ประเภท คือ การประชุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลของบุคคลในสาขาอาชีพเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน ระยะเวลาในการจัดประชุมประมาณ 4-5 วัน ใช้เวลาเตรียมงานอย่างน้อย 1 ปี เรียกว่า Association Meeting โดยหมายรวมถึง Conference คือ การที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะปรึกษาหารือกันเพื่อหาข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา และ Congress คือ การประชุมที่มีหัวข้อการประชุมมาจากการสนับสนุนของสมาชิก/องค์กรนั้น ส่วนใหญ่มีการวางแผนล่วงหน้า 1 ปีขึ้นไป มีขนาดใหญ่กว่า Conference สำหรับ Symposium หมายถึง การประชุมของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยการเสนอผลงานจากผู้เชี่ยวชาญในหัว ข้อนั้นๆ เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็น ประเภทที่สอง คือ การประชุมของกลุ่มบุคคลที่มาจากองค์กร/บริษัทเดียวกัน/เครือเดียวกัน ซึ่งอาจมาจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก ใช้เวลาเตรียมงานน้อยกว่า 1 ปี เรียกว่า Corporate Meeting และมีขนาดการประชุมเล็กกว่า Association Meeting หรือการประชุมของกลุ่มบุคคลหรือผู้แทนจากหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจมาจากหลายๆ ประเทศทั่วโลกก็ได้ และการประชุมประเภทที่ 3 คือ การประชุมของกลุ่มบุคคล/ผู้แทนจากหน่วยราชการและเป็นการจัดโดยหน่วยราชการ เรียกว่าGovernment Meeting I : Incentive Travel (การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล) หมายถึง รูปแบบการท่องเที่ยวที่เกิดจากการจัดนำเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลแก่พนักงานหรือ บุคคลที่สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมายที่บริษัท/องค์กรวางไว้ โดยบริษัท/องค์กรเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งหมด จำแนกได้ 2 ลักษณะ คือ ประเภทกลุ่ม (Group Incentive Travel) ซึ่งจัดนำเที่ยวแก่พนักงานเป็นกลุ่ม และเป็นที่นิยมโดยทั่วไป เนื่องจากประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าประเภทบุคคล (Individual Incentive Travel) โดยเป็นการให้บริการแก่คนกลุ่มใหญ่ สำหรับประเภทบุคคล นักท่องเที่ยวมีสิทธิเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้แต่ส่วนใหญ่กำหนดให้เป็นการ ท่องเที่ยวในประเทศ C : Convention (การประชุม) มีลักษณะคล้ายกับ Meeting แต่จะแตกต่างกันที่จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม (ขนาดการประชุม) ซึ่งจะมีมากกว่าตั้งแต่หลายร้อยจนไปถึงหมื่นคน และใช้เวลาในการเตรียมงานไม่ต่ำกว่า 2 ปี ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการจัดประชุมระดับประเทศ ภูมิภาค จนถึงระดับนานาชาติ มักเป็นการจัดโดยสมาคมหรือองค์การระดับนานาชาติหรือระดับรัฐบาล E : Exhibition (การจัดนิทรรศการ/งานแสดงสินค้า) หมายถึง กิจกรรมที่จัดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อแสดง/ขายสินค้าหรือบริการให้ กับกลุ่มเป้าหมายโดยภายในงานอาจเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมได้ จำแนกออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การจัดนิทรรศการหรืองานแสดงสินค้าสำหรับผู้ประกอบการ (Trade Show) ผู้บริโภค (Consumer Show) และสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภค (Trade and Consumer Show) จะเห็นว่ากลุ่ม MICE นั้นมาเที่ยวแบบเต็มใจเที่ยว และเต็มใจจ่ายนะครับ โดยเฉพาะในส่วนของ Incentive Travel เนี่ยบริษัทฯเค้าจะจ่ายค่าเดินทางกับที่พักให้ ที่เหลือก็เอาเงินส่วนตัวไปช้อปกันตามสบาย ส่วนพวกที่จัดงานประชุมหรือ exhibition เนี่ยมาทีโรงแรมแทบจะปิด เพราะว่าเป็นการเข้าพักแบบยกชั้นไปเลย มี คนว่ากันว่าโรงแรมที่เน้นกลุ่ม MICE นั้น ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเส้นรัชดาภิเษก + พระราม 9 + ห้วยขวาง ครับ….เนื่องจากความได้เปรียบในเรื่องของ new CBD ในอนาคตนี่เองแหละครับ >>> โครงการ Belle Grand ออฟฟิศใหม่กลุ่มยูนิลิเวอร์ ตลาดหลักทรัพย์ใหม่ สำนักงานใหญ่ AIA และอีกสารพัด ที่กำลังทยอยผุดขึ้นมา…. ลองนับเล่นๆดูในย่านนี้ก็จะมี 4-5 โรงแรมที่ล้วนแต่ชูจุดเด่นในด้านความพร้อม ยิ่งใหญ่ ของห้องประชุม สันทนาการ ห้องจัดเลี้ยง ห้องอาหาร ใกล้แหล่งเอนเตอร์เทนเมนต์ (ผมว่าอันนี้เป็นปัจจัยหลักหรือเปล่าครับ) ฯลฯ ไม่ว่าจะเป็น สวิสโฮเต็ล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพ ดิ เอ็มเมอร์รัล เจ้าพระยาปาร์ค แกรนด์ เมอร์เคียว ฟอร์จูน โอ้ย….เยอะไปหมดครับ กลับ เข้ามาที่เรื่องของเราบ้าง…แล้วไอ้ที่บอกว่าการปรับตัวของธุรกิจโรงแรม ที่ผู้ประกอบการควรที่จะต้องทำ มีอะไรบ้างล่ะ? >>> แหม ก็ผมอุตสาห์แยกประเภทของผู้เข้าพักแต่ละแบบ แต่ละสไตล์ให้ เท่านี้คุณๆก็น่าจะรู้แล้วล่ะครับว่าที่พักของคุณเหมาะสมกับลูกค้ากลุ่มใด กลุ่มหนึ่งในนี้หรือเปล่า? แล้วถ้าหาลูกค้าที่เหมาะๆได้แล้ว จะทำยังไงให้คนเข้ามาพักที่โรงแรมเราล่ะ? มาติดตามกันต่อครับ…. โดยกระแส ของธุรกิจโรงแรมในปัจจุบัน เราสามารถกำหนดแทรนด์ของการวาง product positioning ของแต่ละเชนโรงแรมได้ครับ ว่าเค้าแบ่งกันเป็นแบบไหนบ้าง และที่เค้าแบ่งกันก็เพราะว่าทางโรงแรมก็เอา consumer insight เป็นที่ตั้งครับ สุดแล้วแต่ว่าทำเลไหน หรือกลุ่มลูกค้าแต่ละคนมีความชอบแบบไหน หรือถ้ากลุ่มลูกค้าเชนใหญ่ๆมีความชอบที่แตกต่างกันออกไป ก็เปิดแบรนด์ให้ครอบคลุมมัน ทุกเซกเมนต์เลยครับ ตอนนี้เทรนด์ของ positioning แบ่งเป็น 4 อย่างครับ (ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากผู้จัดการ 360 องศา รายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 มีค. 2555) 1. เทรนด์ Budget hotels เน้นห้องพักราคาประหยัด และง่ายต่อการใช้บริการ ส่วนใหญ่แล้วห้องจะมีขนาดเล็ก 18 – 25 ตารางเมตร และราคาไม่เกิน 1,500 บาทต่อคืน เชนแอคคอร์ถือเป็นเชนที่บุกเบิกการเป็นผู้นำตลาด budget hotels เจ้าแรกในเมืองไทย โดยดัน 2 แบรนด์หลัก คือ Ibis และ All Seasons (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น Ibis Style) ราคาขายห้องพักขยับขึ้น-ลงตามวัน เริ่มต้น 1,000-3,000 บาท/ห้อง/คืน นอกจากนี้ก็ยังมีแบรนด์ใหม่จากกลุ่ม Air Asia ที่ชื่อว่า Tune Hotel ซึ่งก่อตั้งโดย นายโทนี เฟอร์นันเดส ผู้ก่อตั้งสายการบินต้นทุนต่ำ แอร์เอเชีย ที่มีการร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่นในประเทศที่สายการบินมีเส้นทางบินเพื่อ เปิดบริการ ทูนโฮเต็ล ส่วนในประเทศไทยเปิดให้บริการแล้วที่ พัทยา หาดใหญ่ อโศก (กทม.) ป่าตอง ซึ่งราคาค่าห้องพักจะเริ่มที่ 699 บาท เก็บค่าไฟตามที่ใช้จริง และบวกราคาสำหรับบริการเพิ่มเติม เช่น เครื่องปรับอากาศ อาหารเช้า ผ้าเช็ดตัว อินเทอร์เน็ต ทีวี ฯลฯ ส่วนคนต่างชาติส่วนใหญ่ก็น่าจะรู้จักโรงแรม Lub D และล่าสุดแว่วๆมาว่าเครือ centara ก็จะขยับขยายไปเล่นในเทรนด์นี้เช่นเดียวกัน (เรียกได้ว่าโหนตามกระแส lowcost airline กันเลยทีเดียว) 2. เทรนด์ Luxury hotels and resorts เน้นทุ่มทุนสร้างห้องพักสไตล์หรูหรา มีเอกลักษณ์ เน้นบรรยากาศความเป็นส่วนตัว แพงระยับ ราคาเริ่มต้นที่ 10,000-60,000 บาท/ห้อง/คืน ผู้นำตลาดแข่งขันกันอย่างสนุกมี 2 เชน คือ เชนซิกซ์เซนส์ ที่ได้ก่อสร้างรีสอร์ตคอนเซ็ปต์พูลวิลล่าระดับ 6 ดาว ขนาด 40-70 ห้อง/รีสอร์ต ด้วยแบรนด์โซเนวา (Soneva) ซึ่งจะนำร่องเปิดแห่งแรกในชื่อ เนวา คีรี แอนด์ ซิกซ์เซนส์ สปา เกาะกูด จ.ตราด และแบรนด์ซิกซ์เซนส์ระดับ 5 ดาว ซึ่งจะเปิดซิกซ์เซนส์ ไฮอะเวย์ เกาะยาว นอกนั้นก็จะมีพวก Sofitel, Conrad, St. Regis, Renaissance, Sripanwa, The Sukhothai, Muthimaya, The Siam ของกลุ่มสุโกศล ฯลฯ 3. เทรนด์ห้องพักกึ่งพรีเมียม ซึ่งลงทุนพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และการตกแต่งให้ดูดีมีราคา (premier hotels) เริ่มต้นที่ 2,000-6,000 บาท/ห้อง/คืน ซึ่งเชนเบสท์ เวสเทิร์น มาแรงที่สุดในกลุ่มนี้ โดยแบรนด์ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ ได้เข้ามาขยายเครือข่ายในเมืองไทยขั้นต่ำ 25 โรงแรม คู่แข่งที่น่าจับตาในกลุ่มนี้ คือ เชน IHG ซึ่งมีแบรนด์คราวน์พลาซ่า และ Holiday Inn เป็นหัวหอกสำคัญ รวมถึงเชนแอคคอร์บางแบรนด์เช่น โนโวเทล แกรนด์เมอร์เคียว และ Pullman หรือแบรนด์ไทยอย่าง The Sukosol 4. เทรนด์ Fashion & Boutique (บางคนอาจจะเรียกว่า Lifestyle Hotel) >> อันนี้เป็น trend ใหม่ที่ทยอยเกิดขึ้นมาทั่วโลกครับ โดดเด่นด้านการดีไซน์ เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่ต้องการโรงแรมทันสมัยหรือมีเอกลักษณ์ แตกต่างชัดเจน ราคาไม่ได้จำกัดว่าต้องมี range อยู่ที่เท่าไหร่ อาจจะถูกหรือแพงก็ได้ (แต่กระซิบว่า…..ส่วน ใหญ่แพงโคตรครับ) เช่น Brand ใน portfolio ของ MGallery ในกลุ่มแอคคอร์อย่าง VIE Hotel Bangkok และ Sofitel So หรือ Wave Hotel ของกลุ่มสุโกศลที่ทำออกมาในสไตล์ Miami Boutique ริมหาดพัทยา หรือ Edition ของเครือ Marriott หรือ Tenface Bangkok และล่าสุดคือ W Hotel Bangkok ในกลุ่ม Starwood นาที นี้คงต้องบอกล่ะครับว่าเทรนด์ในส่วนของ Budget hotels นั้นมาแรงมากๆครับ มาแรงตามกระแสของ low cost airline ก็นั่นน่ะสิ สมัยนี้คนเราถ้าเดินทางไปเที่ยวเน้นแค่ shopping ก็มักเอาถูกไว้ก่อนครับ……..แต่ถ้าถามผม ผมกลับมองว่าเทรนด์ Boutique Hotel กลับเป็นแนวทางที่ดูมีเสน่ห์มากกว่า และมี มนตราในการดึงดูดลูกค้าให้เข้าพักมากกว่านะครับ มันคงจะดีไม่น้อยถ้า SMEs โรงแรมที่เป็นของไทยจับ เอาจุดขาย และสามารถเล่านิทาน ให้ออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ครับ ดูแนวทางของ Tenface เป็นตัวอย่างก็ได้ที่จับเอาวรรณกรรมอย่างรามเกียรติมาทำให้เป็น Theme ของโรงแรม Shanghai Mansion ที่ตั้งอยู่ใจกลางเยาวราช และ จักรพงษ์ วิลล่า หรือถ้าใครคิดไม่ออก ผมก็ขอยก ตัวอย่างเพิ่มเติมให้เห็นภาพมากขึ้นครับ เมื่อ หลายปีก่อนเวปไซต์ Living lifestyle destination ชื่อดังอย่าง www.cnngo.com ได้มีการนำเสนอรูปแบบของ Boutique Hotel ชั้นดีที่เกิดขึ้นมาทั่วโลกครับ ใน article ที่มีชื่อว่า A hotel to match that dress: Fashion designer hotels ผมว่ามันเจ๋งมากทีเดียว ซึ่งก็แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะมาจากแรงบันดาลใจของเหล่าแฟชั่นดีไซน์ เนอร์ชั้นแนวหน้าบนโลกใบนี้ครับ ไม่ว่าจะเป็น Bulgari, LV, Giorgio Armani หรือ Ralph Lauren Armani Hotel ธุรกิจโรงแรมในดูไบที่ Burj Khalifa อาคารสูงสุดของโลก ซึ่งหลังจากเปิดโรงแรม ในดูไบแล้วได้ขยายธุรกิจไปยังอีก 6 เมืองในต่างประเทศได้แก่ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มิลาน อิตาลี นอกจากนี้ signature ที่สำคัญของ Armani Hotel คือร้านขายลูกกวาดที่ชื่อว่า Armani Dolci และไนท์คลับที่ชื่อ Armani Prive ที่นี่ผนังถูกหุ้มด้วยเครื่องหนังชั้นดีจากอิตาลี พื้นถูกปูด้วยเสื่อญี่ปุ่น และหินอ่อนสีไม่ไผ่เขียวจากบราซิล หลุยส์ วิตตอง เปิด Boutique Hotel ที่เมือง St. Tropez ของฝรั่งเศส โดยตั้งชื่อที่มีความหมายเป็นโรงแรมสีขาวว่า White 1921 ซึ่งตอนแรกถูกเรียกว่า Maison Blanche เป็นบูติก โฮเต็ล ขนาด 8 ห้องนอน และมีแชมเปญ + ค๊อกเทลบาร์ที่ดีไซน์โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Jean-Michel Wilmotte โดย White 1921 นี้จะเปิดให้เข้าพักในช่วงเดือนพฤษภาคม – ตุลาคมในแต่ละปีเท่านั้น หาก ใครที่บินไปช้อปปิ้งที่เกาะฮ่องกงบ่อยๆ ก็อาจจะเคยเห็น Hotel ICON ที่ตั้งสวยเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ริมอ่าว Victoria แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าโรงแรมนี้ถูกออกแบบและบริหารงานโดย Fashion Designer ชื่อดังของฮ่องกงอย่าง Vivienne Tam เอา ล่ะครับวันนี้ผมร่ายยาวเกี่ยวกับเทรนด์โรงแรมมาพอสมควรแล้วครับ ก็หวังว่าคุณผู้อ่านพอจะรู้ถึงแนวทางคร่าวๆในการ “ปรับตัวให้เข้ากับยุคที่มีการแข่งขันสูง” กันได้นะครับ พบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีครับ หากเพื่อนๆหรือคุณผู้อ่านคนไหนอยากให้ผมเขียนเรื่อง อะไร และจะแนะนำติชมอะไรขอให้ส่งเมลมาได้ที่ kirk.bu@gmail.com นะครับ อะไรที่หามาได้ ก็จะเอามาเขียนตอบแน่นอนครับ ส่วนอะไรที่ตอบไม่ได้ก็รอไปก่อนนะครับ แต่สัญญาว่าจะหามาให้ได้ครับ บทความโดย เกริก บุณยโยธิน