Real Estate Ahead 2025 “เหนื่อยหนักท่ามกลางความกดดันรอบด้าน” พร้อมแนะนำประเด็นที่น่าสนใจในปีนี้
ในที่สุดก็ผ่านพ้นไปสักทีกับปีที่แสนสาหัส “มากที่สุดในรอบ 10 ปี” และก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2025 อย่างเป็นทางการอีกครั้งครับ หวังว่าปีนี้จะมีสารพัดเรื่องราวดีๆเข้ามาดึงธุรกิจอสังหาฯให้เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องในทุกเซกเมนท์ไปสู่ในระดับเดียวกับเมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นอย่างน้อยครับ… หากใครสักคนมาถามผมว่าปีใหม่นี้อยากให้คำอธิษฐานใดเป็นจริงมากที่สุด ก็คงจะเป็นคำพูดดังกล่าวนั่นเองล่ะครับ
สำหรับแวดวงอสังหาฯในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แน่นอนว่าก็ยังคงอยู่ในช่วงที่ซึมยาวอย่างต่อเนื่องซึ่งลากยาวมาข้ามปีตั้งแต่ช่วงกลางปี 2024 ที่ผ่านมาแล้ว โดยกูรูและสำนักวิจัยหลายฝ่ายล้วนชี้ไปยังทิศทางเดียวกันว่า ปีนี้ธุรกิจอสังหาฯยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ท่ามกลางความกดดันอย่างต่อเนื่อง ต้องเตรียมตัวรับมือกับแรงกระแทกครั้งใหญ่ หลังจากที่กลุ่มสินค้าในบางเซกเมนท์ของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ได้บินสูงอย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว ทั้งนี้ปัจจัยลบที่เป็นมือไททันมาฉุดรั้งให้ธุรกิจด่ำดิ่งลงมาก็คือ การไม่ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารพาณิชย์ โดยมีสาเหตุหลักจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP และความใจแข็งของธปท.ในการไม่ยอมผ่อนปรน ปลดล็อคมาตรการ LTV เพราะกลัวว่าคนไทยจะเป็นหนี้เพิ่ม จนลุกลามมาเป็น NPL ของหมวดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ทั้งๆที่คนที่มีกำลังทรัพย์สามารถผ่อนบ้านหลังที่ 2-3-4 ได้ยังมีอีกมาก จากความจำเป็นหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การมีคอนโดหลังที่สองใกล้ที่เรียนหรือที่ทำงาน การซื้อบ้านตากอากาศไว้หนีมลพิษจากฝุ่นที่ภูเก็ต ซื้อเพื่อขยายครอบครัว – แยกครอบครัว หรือเอาใจสัตว์เลี้ยง ตลอดจนการซื้อเพื่อลงทุนทั้งสั้นและยาวเพียงแต่ว่าด้วยความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ จึงทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่พร้อมที่จะเป็นเจ้าของบ้าน และคอนโดเพิ่มในแบบที่ต้องเอาเงินสดจำนวนเยอะๆมาวางดาวน์ก็เท่านั้นเอง เมื่อรวมกับการซื้ออย่างเต็มโควต้าของชาวต่างชาติไปแล้วในบางทำเล และการขาดหายไปของ Generation Buy แต่ถูกแทนที่ด้วย Generation Rent ก็เลยทำให้เราจำเป็นต้องทนอัดอยู่ในตลาดที่แคบลงเรื่อยๆ ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน
ตารางดังกล่าวจากบทวิเคราะห์ Emerging Trend in Real Estate Asia Pacific 2025 โดย PWC และ Urban Land Institute ชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยเรื่องของการขอสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย และอัตราการเจริญเติบโดทางเศรษฐกิจ กลายมาเป็นปัญหาหลักในการซื้อของนักลงทุนมากกว่าเรื่องอื่นๆไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกันกับความคิดเห็นของดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม ที่มีต่อภาวะตลาดที่อยู่อาศัยปี 2567-2568 ว่า สินเชื่อผ่อนชำระที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ยอดขายที่อยู่อาศัยทั้งเป็นจำนวนเงินและจำนวนหน่วยขึ้นถึงระดับสูงสุดในช่วง 4-5 ปีมานี้
ช่วงเริ่มต้นของปีแบบนี้ ผมขออาสาจุดประกายความคิดให้กับคุณผู้อ่าน ผู้ติดตามที่มีอุปการคุณทุกคน ด้วยบทความยาวๆแบบเขียนไปเรื่อยตามใจผมครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในการอ่าน และเนื่องจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมได้มีการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปในหลากหลายแง่มุมของธุรกิจอสังหาฯไปแล้วในระดับหนึ่งจาก 3 บทความหลักตามด้านล่าง ผมก็ขอเข้าเรื่องไปในแต่ละประเด็นเลยแล้วกันครับ ส่วนใครที่ตกหล่นข้อมูลไปก็สามารถคลิกย้อนกลับไปอ่านอีกครั้งได้เลย
สรุปประเด็นอสังหาฯ ที่น่าสนใจตลอดปี 2024
Propholic’s Best of 2024 รวมโครงการสุดประทับใจ บนช่วงเวลาที่ถนนทุกสายมุ่งสู่ภูเก็ต
คาดการณ์เทรนด์อสังหาฯที่น่าสนใจในปี 2025
1. ปรับกลยุทธ์การทำตลาดแบบ Counter Offensive ดึงกลุ่มลูกค้าใหม่ท่ามกลางความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจ
“ความเห็นผม เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างกระท่อนกระแท่นมาก และนโยบายการเงินตึงตัวเกินไป แต่ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เขาไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าเวลาผ่านไปอีกสักกลางปีหน้า คงจะจำนนด้วยหลักฐานทางเศรษฐกิจว่าต้องลดดอกเบี้ยลง และนักวิเคราะห์หลายคนก็หวังว่าจะไปเจอกันที่ 1.50%” ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อถึงมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 68 ที่คาดว่าจะขยายตัวราว 3% จากแรงส่งของภาคท่องเที่ยว การส่งออก และการใช้จ่ายของรัฐบาล ท่ามกลางคำถามที่ว่าเศรษฐกิจไทยจะสร้างฐานการเติบโตใหม่จากอะไร และเมื่อไหร่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมองเห็นภาพอย่างเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ฟื้นตัวได้ดีในแบบที่ควรจะเป็น โดยอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นหมวดธุรกิจที่ยังคงต้องเหนื่อยหนักต่อ จากนโยบายที่เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ และแก้หนี้เก่า ซึ่งจะเห็นการทำแบบนี้ต่อเนื่องไปอีก 3 ปี (ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ธค. 2024 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% ต่อปี)
จากข้อมูลดังกล่าว ก็เป็นอันชัดเจนแล้วว่าในปีนี้นักการตลาดของสายอสังหาฯ ควรจะ Focus ทิศทางการทำการตลาดไปที่การทำตลาดเชิงรับ (Defensive Marketing Strategy) ในยุคที่เศรษฐกิจกำลังย่ำอยู่กับที่แบบนี้เป็นหลัก แต่การทำการตลาดเชิงรับที่เหมาะสมนั้นไม่ได้หมายถึงการที่ไม่ได้ใช้จ่ายเงินในการทำโฆษณาหรืออะไรเลย เน้น Lean และรักษา Positioning เพียงอย่างเดียวจบ ในทางกลับกันการตลาดเชิงรับที่ดีนั้นหมายถึงการทำตลาดเชิงรุก ด้วยแทคติกใหม่ๆ การสื่อสารใหม่ๆ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่ตอบโจทย์ความต้องการในการซื้อของกลุ่มเป้าหมายที่ยังมีความสามารถในการซื้ออยู่
กลยุทธ์การทำตลาดเชิงรุก ท่ามกลางความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อตั้งรับ เพื่อรอโอกาสที่สภาวะตลาดที่ดีกว่าจะวกกลับเข้ามาเอง ในมุมมองของ Godfather of Marketing อย่าง Philip Kotler นั้นได้เคยให้หลักคิดเอาไว้ในหนังสือ FAQs on MARKETING เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วว่า สิ่งแรกที่นักการตลาดต้องทำก็คือห้ามตัดค่าใช้จ่ายในเรื่องของการตลาด และลดราคาสินค้าในทันที โดยที่ไปหาวิธีการที่จะลดต้นทุนในการบริหารงานส่วนอื่นๆแทน และไป Revised แผนการตลาดใหม่ว่าควรจะเน้นไปที่ช่องทางไหน และเจาะกลุ่มเป้าหมายในแบบที่มีคุณภาพกว่าที่เป็นอยู่ได้อย่างไร ซึ่งในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังถดถอย เป็นธรรมดาที่เหล่าผู้ซื้อส่วนใหญ่มักจะมองหาสินค้าที่มอบความคุ้มค่าที่มากกว่า (Value for Money) กลยุทธ์การตลาดประเภทลดแลก แจกแถม และการออก Brand ใหม่ๆที่มีราคาที่ถูกลงมาก็จะช่วยสร้างยอดขายได้ โดยที่ไม่กระทบต่อ Product Positioning ของสินค้าที่อยู่ใน Brand Port Folio ของบริษัท ให้ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วช้ำใจเล่นๆ…จะเห็นได้ว่า Kotler นั้นให้ความสำคัญกับ 3 สิ่งก็คือ อย่าเปลี่ยนแปลง Brand Positioning ของสินค้าที่มีอยู่ โดยการลดต้นทุนเพื่อทำให้สินค้าถูกลง เพราะนั้นเท่ากับเป็นการ Devaluate Brand ตัวเอง, แต่ให้เพิ่มความคุ้มค่าทั้งในเรื่องที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ลงไปในผลิตภัณฑ์เพื่อให้เกิดความเป็น Value for Money ขึ้นมา และสุดท้ายคือพยายามมองหากลยุทธ์สไตล์ Counter Offensive ที่พร้อมจะช่วงชิงฐานลูกค้ามาจากคู่แข่ง โดยการเน้นภาพจำให้ลูกค้าเห็นถึงจุดอ่อนในสินค้าของคู่แข่งที่จะไม่มีให้เห็นในสินค้าเรา เช่นเดียวกับกลลุทธ์ Defense Positioning ที่มีการนำเอา CRM และ CEM มาใช้ในการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าระดับ Cream ที่เป็นส่วนน้อยในฐานข้อมูลลูกค้า แต่ Contribute ยอดขายรวมกันที่มากกว่าลูกค้าประเภทอื่นๆรวมกัน
ตลาดอสังหาฯในมุมมองของผมก็มี Market Cycle ของตัวผลิตภัณฑ์อยู่เหมือนกัน ในอดีตคอนโดที่อยู่ติดรถไฟฟ้าอาจจะขายดีได้รับความนิยมมาก โดยที่ผู้ซื้อไม่ได้มองว่าแพง แต่ในปัจจุบันผู้คนจำนวนหนึ่งอาจมองว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ใกล้รถไฟฟ้าขนาดนั้นก็ได้ เพราะราคามันสูง แต่ขยับออกไปในทำเลที่เข้าซอยมาในระยะที่เดินได้ง่ายจากสถานีรถไฟฟ้าขนาดรอง ก็ได้คุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนกัน ในราคาที่ถูกกว่า บนสเปซที่กว้างกว่า หรือในยุคหนึ่งนักลงทุนจำนวนมากหากต้องการลงทุนในคอนโดที่ได้ Yield ดีจำเป็นต้องซื้อคอนโดที่ Target ไปที่คนต่างชาติ ในย่าน Prime Area แต่ในปัจจุบันหลายๆคนก็หันไปมองหา Campus Condo ชานเมือง ที่ให้ผลตอบแทนเท่ากันอย่างสม่ำเสมอมากกว่า ในงบลงทุนที่น้อยกว่า… นักการตลาดที่ดีก็ควรที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่อยู่ในจิตใจของลูกค้า ณ ช่วงขณะนั้น ใหม่ ด้วยหลักการทางจิตวิทยาที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าประเภทต่างๆ เพราะนั้นหมายถึงการที่เราจะสามารถบริหาร Port สินค้าที่เรามีอยู่ในมือให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภคแต่ละ Segment ได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ผมขอยกตัวอย่างจากบทความเดิมที่ผมเคยเขียนมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนช่วงที่เกิดวิกฤตการณ์โควิด 19 อีกครั้งครับ…โดยในบทความของ Harvard Business Review เรื่อง How to Market in a Downturn ได้ฉายภาพให้เราได้เห็นถึง Customer Segmentation ในมุมมองที่แตกต่างไปจากในยุคที่เศรษฐกิจกำลังบูม หรืออยู่ในสถานการณ์ปกติทั่วไปไว้ดังนี้ครับ ซึ่ง Segments ทั้ง 4 ดังกล่าวมักจะมีมาปรากฎให้เห็นเสมอเมื่อคราวที่เศรษฐกิจอยู่ในยุคถดถอย โดยเป็นการแบ่ง Segmentation ตามลักษณะทางจิตวิทยามากกว่าในเชิง Demographic ครับ
1. กลุ่มลูกค้าประเภท The slam-on-the-brakes ลูกค้าที่อยู่ในเซกเมนท์นี้คือกลุ่มที่โดนผลกระทบหนักที่สุดจากภาวะเศรษฐกิจครับ หากเราจะอนุมานไปถึงตลาดอสังหาฯในบ้านเราก็คงจะเป็นกลุ่มเซกเมนท์ Economy – Middle Income ที่โดนผลกระทบจากหนี้ครัวเรือน จนขาดสภาพคล่องในการจับจ่ายหรือใช้หนี้สินประจำเดือน ซึ่งสิ่งที่เราเห็นได้ทั่วไปจากคนกลุ่มนี้ก็คือการตัดค่าใช้จ่ายทิ้งทุกอย่าง อะไรที่ไม่จำเป็น (Expendables) หรือยังไม่จำเป็นต้องซื้อตอนนี้ (Postponables) ก็ไม่ซื้อเลย มองหาแบรนด์ที่มีราคาถูกกว่าของเดิมที่เคยใช้อยู่ เพื่อประหยัดงบประมาณ ซึ่งหากเป็นร้านค้าประเภท Hyper Market ก็มักจะเน้นการดันสินค้าประเภท House Brand ราคาถูกกว่าให้กับกลุ่มลูกค้าประเภทนี้ และดีเวลอปเปอร์บางส่วนก็มองว่าผลิตภัณฑ์แนว Rent to own หรือเช่าระยะยาวเพื่อทดแทนการจ่ายค่าดาวน์จนกว่าจะกู้แบงค์ผ่านได้ก็เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างจะตอบโจทย์
เสนาฯ “LivNex เช่าออมบ้าน” เป็นโมเดลนำร่อง ที่เกิดจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเจนใหม่ เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่หันมาเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อ การเช่าจึงกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการผ่อนชำระระยะยาว ที่ผ่านมาบริษัทฯ จึงนำร่องโมเดล “LivNex เช่าออมบ้าน” ซึ่งได้รับความสนใจ มีผู้เข้าร่วมกว่า 800 ยูนิต และผ่านการอนุมัติแล้วกว่า 400 ยูนิต ซึ่งไม่ต้องชำระเงินดาวน์ และไม่ต้องรอการอนุมัติสินเชื่อจากธนาคาร เพียงเลือกโครงการเสนา ที่ต้องการและทำสัญญาเช่าออมสูงสุด 36 เดือน ก็สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที พร้อมโอนสิทธิ์เปลี่ยนมือได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.8% เปลี่ยนค่าเช่าเป็นเงินออม ลดเงินต้น และผ่อนชำระเริ่มต้นเพียงล้านละ 4,100 บาท
จนออกมาใหม่อีกเฟสที่มีมูลค่าโครงการสูงขึ้น กับโครงการภายใต้ LivNex Gold เช่น โครงการ PITI สุขุมวิท 101, SENA Grand Home รังสิต – ติวานนท์ และ SENA Parkville รามอินทรา กม.9
นอกจากนี้ เสนาฯ ยังเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “RentNex” การเช่าคอนโดรูปแบบใหม่ เน้นความยืดหยุ่นให้กับผู้เช่า และไม่ผูกพันกับสัญญาเช่าระยะยาว ในสไตล์ Subscription as a Services แบบเดียวกับ Toyota KINTO ที่หากว่าเช่าอยู่ไปสักระยะหนึ่งแล้วเบื่อก็สามารถ Move ไปอยู่โครงการอื่นใน Port ได้ ไม่ต้องจ่ายมัดจำเพิ่มและไม่ต้องทำสัญญาเช่าใหม่
ซึ่งเสนาฯ มองว่า “RentNex” จะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์กลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือ Generation Rent ที่เน้นการเช่าอยู่ มากกว่าความต้องการซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ โดยลูกค้าสามารถเลือกเช่าแบบสมัครสมาชิกได้ง่ายๆ จาก 20 โครงการคอนโดของเสนา เริ่มต้นเช่า 6,700 บาทต่อเดือน ใน 3 แพ็กเกจ ประกอบด้วย Silver, Gold และ Platinum นอกจากนี้ ยังได้ Money Save รับส่วนลด 20% ของค่าเช่าสะสม 3 ปี เมื่อเปลี่ยนใจซื้อโครงการทั้งหมดใน Pool ของ RentNex
ทั้งโมเดล LivNex และ RentNex ผมว่าเป็นไอเดียที่ใช้ได้ในการจับกลุ่มตลาดใหม่ และการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าคงเหลือไม่ให้สูญเปล่าเสียรายได้ไปครับ แต่ปัจจัยที่ทางดีเวลลอปเปอร์จะต้องคำนึงถึงก็คือ แล้วจะ Exit ห้องเพื่อขายเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะหากมีการเช่าต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ต้องดูแลสินทรัพย์ต่ออย่างไม่จบสิ้นครับ ส่วนตัวแล้วผมมองว่า LivNex ยังพอจะมีทางออกได้ง่ายเพราะคนที่เลือกโมเดลนี้ส่วนใหญ่คืออยากซื้อห้องนั้นๆอยู่แล้วเพียงแต่ติดปัญหาเรื่องการกู้แบงค์ และอีกอย่างเสนาก็มีโมเดล Financial Service ที่ชื่อว่า เงินสดใจดี ส่วน RentNex นั้น ผมว่าถ้าจะให้ดีก็ควรขาย Port มัดรวมเป็นแบบ Rental Pool Program ให้กับกลุ่มผู้ซื้อสไตล์นักลงทุนตั้งแต่ตอนแรกครับ เพื่อที่จะได้รับรู้รายได้ไปเลย กล่าวคือ ผู้ซื้อจะได้การันตีผลตอบแทนจากการเช่าในทุกๆปีโดยที่เป็นการหารเฉลี่ยทุกยูนิตที่เข้าร่วมโปรแกรม ไม่ได้แยกเป็นรายห้อง โดยที่ทาง RentNex ก็ไปบริหารจัดการในการปล่อยเช่าตามปกติไปครับ เห็นว่าทางบริษัทฯก็มีการร่วมมือในระยะยาวกับทาง Oynx Hospitality อยู่ ซึ่งก็เชื่อว่าถ้าต่อยอดการทำงานดีๆ และมีการ Classify Port โครงการไม่ให้เยอะ กระจายตัวจนเกินไป ก็น่าจะดึงดูดนักลงทุนทั้งรายย่อยและรายใหญ่พอสมควรเลยครับ
2. กลุ่มลูกค้าประเภท Pained-but-patient กลุ่มลูกค้าประเภทนี้จะมีการมองโลกในแง่ดีกว่ากลุ่มแรกว่าในระยะยาวเศรษฐกิจคงจะดีขึ้น เราคงกลับมาซื้อของได้แบบเดิม มีความยืดหยุ่นในการจับจ่ายที่มากกว่า แต่ก็ยังมีการระมัดระวังในการซื้อของสูงเนื่องจากเกรงว่าใช้มากไปก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองได้ ดังนั้นก็เลยมีแนวคิดประหยัดเอาไว้ก่อน ของไหนไม่จำเป็น ที่แพงเกินไปก็ไม่ต้องซื้อ แต่เลือกที่จะซ่อมแทน มักจะมองหาสินค้าที่ Value for Money จริงๆ ประเภทลดเยอะๆ แถมเยอะๆ โดยที่ยังคงเลือกซื้อแบรนด์เดิมๆอยู่แต่เลือกซื้อเฉพาะตอนมีโปรโมชั่น เหมือนกับเราที่จะซื้อเสื้อร้าน Uniqlo เฉพาะตอนที่มัน Sale เนี้ยหละฮะ หรือไม่ก็จะมีพฤติกรรมแบบไม่ซื้อของใหม่จนกว่าของที่มีอยู่จะขายได้ กลุ่ม Pained-but-patient เป็นกลุ่มลูกค้าที่มักจะมีปริมาณมากที่สุดเสมอในฐานลูกค้าของเรา ซึ่งเราควรต้องพึงระวังไว้เสมอว่าหากสภาพเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่แย่ลงอย่างต่อเนื่องลูกค้ากลุ่มนี้ในที่สุดก็จะมีโอกาสเป็น Panic จนกลายเป็นไม่ซื้ออะไรเลยเหมือนกับกลุ่มแรกเช่นเดียวกัน ตลาดอสังหาที่ยังพอไปได้สำหรับกลุ่มนี้ก็อาจจะเป็นกลุ่ม Home Renovation ซื้อบ้านมือสองที่ผ่านการ Renovate มาอย่างดีแล้ว ในราคาที่ถูกกว่าราคาบ้านมือหนึ่งในย่านเดียวกัน หรือคนที่มองหาบ้าน คอนโดรีเซลในแบบที่ขายในราคาต่ำกว่าตลาด ซึ่งในทางกลับกันหากว่าเอเจนท์รายไหนขายห้องให้ได้ก็มีแนวโน้มที่จะซื้อที่ใหม่ในแบบพร้อมอยู่ทดแทนได้เลยทันที
เปี่ยมสุข กับแคมเปญใหญ่ ‘เก่าแลกใหม่’ โดยมี รถแลกบ้าน บ้านเก่าแลกบ้านใหม่ และที่ดินแลกบ้านใหม่ โดยสามารถนำมูลค่าของแต่ละอย่าง มาใช้แทนการจ่ายเงินสดบางส่วนหรือเป็นส่วนลดในการซื้อบ้านใหม่ได้ สามารถลดภาระแก่ลูกค้าในการขายบ้านเก่าเอง และทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและมีขั้นตอนชัดเจน อีกทั้งยังลดภาระการผ่อนบ้านสองหลังในเวลาเดียวกัน