Propholic’s Best of 2021 ย้อนดูของดีท่ามกลางปีที่ซัพพลายขาดช่วง
“ผ่านไป 10 เดือนเพิ่งจะได้เห็นโครงการคอนโดเปิดใหม่” คำพูดดังกล่าวเป็นคำอุทานเบาๆในใจของผมในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่นั่งนับวันเวลาของปี 2021 ที่กำลังวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใช่ครับสำหรับผมปี 2021 มันผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก แต่ไม่ใช่รวดเร็วในแบบที่เหมือนกันกับทุกๆปีที่ผ่านมา ที่ผมมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเข้าร่วมงานแถลงข่าว เข้าชมโครงการ และก็นั่งทำคอนเทนต์ สำหรับโครงการใหม่ๆที่มีมาต่อเนื่องไม่หยุดในแต่ละสัปดาห์ ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับปี 2021 นี้ที่ผมมักจะใช้เวลาไปกับการประชุมออนไลน์กับ Potential Partner เพื่อหาลู่ทางในการทำงานใหม่ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมไปถึงการพัฒนาคอนเทนท์ในรูปแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนให้มากยิ่งขึ้น ในแบบที่แทบจะไม่มี Sponsored Content เลยหลายเดือนติดกัน เพื่อให้กลุ่มคนอ่านผู้น่ารักของเรายังคงจดจำเราได้อยู่เสมอ และเฝ้ารอวันที่ตลาดอสังหาฯจะ Rebound กลับมา จากสถิติปีที่ผ่านมาผมคิดว่าน่าจะมีโครงการคอนโดเปิดใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่เกิน 20,000 ยูนิตเองมั้งครับ ปี 2020 ว่าลงแรงแล้วปีนี้ยิ่งลงแรงมากกว่า โดยส่วนตัวของ Propholic เองมีโครงการใหม่ที่เราได้รับโอกาสเข้าไปรีวิวไม่ถึง 20 โครงการครับ น้อยที่สุดตั้งแต่เปิดบริษัทมากว่า 7 ปีเลยล่ะครับ…แต่ถ้าให้ผมนิยามคำพูดสั้นๆที่สะท้อนถึง Positive Side ของปีนี้ก็น่าจะเป็น “ซัพพลายขาดช่วง” อันเนื่องมาจากการเปิดตัวโครงการน้อยและของพร้อมอยู่ที่มีอยู่ในตลาดก็เหลือขายน้อยลงจนขาดไปแล้วสำหรับในบางกลุ่มเซกเมนท์ราคาครับ อสังหาฯมีเรียลดีมานท์เข้ามาตลอดครับและมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี อยู่ที่ว่าจำนวนของดีมานท์นั้นมัน Match พอดีกับจำนวนกับซัพพลายหรือไม่ ซึ่งปีนี้ผมเห็นสัญญาณว่ามีดีมานท์อยู่หลายกลุ่มทีเดียวที่อยากได้ของแต่ยังไม่มีของที่ Match พอที่จะซื้อครับ และหากจะให้พูดข้าไปถึงปีหน้าเลยว่าจะให้คำนิยามว่าอะไร ผมว่าที่เหมาะที่สุดก็เป็นคำเก่าที่เคยวนเวียนใช้กันมาหลายยุคแล้วอย่าง “A Year of Hope หรือปีแห่งความหวัง” นั้นเองครับ เนื่องจากปัจจัยบวกที่ทยอยมีเข้ามาจากหลายๆฝ่ายทั้งจากฝั่งดีเวลลอปเปอร์ที่มองข้ามซ๊อต ไม่สนใจในเรื่องของแนวโน้มของ Pandemic แล้วแต่ไปเน้นพัฒนาโครงการให้ผู้อยู่อาศัยสามารถอยู่ได้ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันต่อเนื่องในอนาคตมากกว่า ฝั่งนโยบายภาครัฐฯที่ทยอยปลดล๊อคกฎระเบียบต่างๆ จนทำให้แบงค์ปล่อยสินเช่าได้คล่องขึ้น รวมถึงฝั่งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงที่มองว่าในยุคที่การใช้ชีวิตลำบากแสนสาหัส สิ่งเดียวที่ปลอบประโลมจิตใจได้ก็คือการใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งที่ชอบ สิ่งที่ฝันเอาไว้ เพราะนี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในชีวิตที่ได้ใช้ ทั้งหมดนี้ล้วนสั่งสมให้เกิดเป็น Pent Up Demand จำนวนมหาศาลที่รอปลดปล่อยในปีแห่งความหวัง 2022 นี้ครับ
ดังเช่นปีที่ผ่านมาครับ เวปพร็อพฮอลิคเราไม่ได้มีผู้อุปถัมภ์ หรือมีทรัพยากรมากมายในการลงทุนเพื่อจัดงานมอบรางวัลให้กับเหล่าโครงการน้อยใหญ่ต่างๆ ดังเช่น Publisher รายใหญ่อื่นๆครับ แต่อย่างน้อยเราก็เชื่อว่ามุมมองบางอย่างของเราน่าจะตรงกับความเป็นจริง และตรงกับใจของกลุ่มลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของโครงการนั้นไม่มากก็น้อย ช่วงใกล้ปีใหม่แบบนี้ ผมจึงขอนำเสนอบทความ PROPHOLIC’ Best of 2021 ซึ่งผมจะขอเรียกว่าเป็น “คำชื่นชม” ให้กับโครงการต่างๆที่ผมมองว่าเป็นโครงการที่มี Point of Different ที่ดีมากๆในสายตาของผมในรอบปีนี้มาให้ละกันครับ…มาเริ่มกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
1. “ดิ แอสเพน ทรี” โครงการเพื่อนแท้หนึ่งเดียวที่ให้คุณได้เริ่มต้นสนุกกับชีวิตบทใหม่ในวัยอิสระ และยังพร้อมดูแลให้บริการคุณไปตลอดชีวิต
ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีอายุใกล้จะถึง 60 ปีแล้ว โดยที่ชีวิตที่ผ่านมาประสบความสำเร็จมาแล้วทุกอย่าง มีชื่อเสียง มีเงินทองสะสมมากมาย อยากซื้อของแพง แบรนด์หรูก็ไหนก็ซื้อได้ ได้รับการยอมรับอย่างสูงในแวดวงสังคม ใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในแบบดื่มด่ำเต็มที่ Enriched Experience มาแล้วทุกมิติ โดยที่รอบกายไม่ได้มีบุตรหลานมาคอยดูแลเอาใจใส่ ไม่มีพันธะอะไรใดๆให้ต้องสานต่อในแบบห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว…เชื่อแน่ว่าเมื่อถึงจุดๆหนึ่งบางคนก็อาจจะคิดครับว่าที่ผ่านมาเราเป็นคนใช้เงินซื้อความสุข ซื้อความปรารถนา หรือว่าเงินเป็นคนใช้เราซื้อความสุข เพื่อดับไฟปรารถนากันแน่ และสิ่งที่ใช้เงินซื้อมาทั้งหมดนั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไงต่อเมื่อไม่มีเรา โดยที่สุขภาพร่างกายของเราก็ถูกบั่นทอนไปด้วยผลลัพธ์ที่มาจากการใช้เงินเพื่อซื้อประสบการณ์ในแบบที่คุณคิดว่า “ใช่” สำหรับคุณในขณะนั้น อยากให้ลองสังเกตตัวเองดูง่ายๆครับว่าคุณเป็นคนที่มีบ้านและคอนโดหลายที่เยอะมากๆ ประเภทว่าเห็นอะไรก็ชอบ มีเงินก็ซื้อไปให้หมด แต่ยิ่งซื้อก็กลับยิ่งโหยหาสิ่งใหม่ และมองหลังที่ตัวเองถือครองอยู่เป็นเพียงแค่บ้านพัก หรือช่องทางในการกระจายทรัพย์สิน ที่ยิ่งแก่ตัวลงก็ยิ่งกังวลว่าจะทำอย่างไรกับทรัพย์สินเหล่านั้นดีหรือไม่ ถ้าใช่ผมก็คิดว่าคุณน่าจะลองเปิดใจเข้ามารู้จักกับโครงการ The Aspen Tree ดูครับ
‘ดิ แอสเพน ทรี’ เป็นโครงการที่พักอาศัยพร้อมมอบบริการดูแลตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เน้นบริการและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Preventive Care) ผสานโปรแกรม Health & Wellness โดยผ่านกิจกรรมระหว่างวันและสันทนาการต่างๆ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้สูงวัย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพกาย จิตใจ และสมอง นอกจากนั้นยังมีบริการ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันอีกด้วย ที่สำคัญ โครงการดิ แอสเพน ทรี ยังถือเป็นโครงการแห่งแรกที่มุ่งเน้นด้านการดูแลตลอดชีวิต (Holistic Lifetime Care) ใส่ใจด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้ท่านได้อยู่อาศัยอย่างไร้ความกังวล โดยได้ร่วมทำงานกับ เบย์เครสต์ โกลบอล โซลูชั่น (Baycrest Global Solutions) องค์กรจากประเทศแคนาดาที่มีประสบการณ์มากกว่า 100 ปี และเป็นผู้นำระดับโลกทางด้านการพัฒนาที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลในโครงการ ที่ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมการดูแลผู้สูงวัย เพื่อสร้างมาตรฐานการดูแลผู้สูงวัยและมอบบริการที่ดีที่สุดให้ผู้อยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ
โครงการถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Aging-In-Place คือการให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตในบ้านตัวเองได้ยืนยาวยิ่งขึ้น พร้อมส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ผลักดันการค้นหาตัวตน และจุดประกายแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ใกล้ชิดธรรมชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิต มอบความสุขแก่ผู้สูงวัยในช่วงเวลาอันงดงามที่สุด เติมเต็มช่วงเวลาอันล้ำค่าเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ มีทั้งแบบ Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences เพรียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการอย่างครบครัน และการดูแลด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญอย่างครบวงจร
ไม่เพียงเท่านั้น ดิ แอสเพน ทรี ยังมอบรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างอิสระให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมด้วยการดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยผู้อยู่อาศัยสามารถมั่นใจได้ถึงความสะดวกสบาย ความอุ่นใจ ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมถึงศูนย์ดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงวัย ภายในโครงการ ไปกับ Health & Brain Center ที่เป็นศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงวัย ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางด้านสุขภาพกาย ใจ และสมอง ภายใต้รูปแบบการดูแลที่ทันสมัย พร้อมด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เฉพาะทาง รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว และอุ่นใจด้วยการดูแลและใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด อย่างถูกต้องตามหลักการดูแลผู้สูงวัย และที่ Health & Brain Center ยังมีบริการทางด้านการดูแลผู้สูงวัยรายวัน ด้านสมองและความจำ การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบระยะสั้น พร้อมเป็นศูนย์ด้านผู้สูงวัยและศูนย์ดูแลแบบระยะยาว โดยมุ่งเน้นในการให้ความสำคัญต่อการบริการ ด้วยมาตรฐานระดับโลก
ซึ่งการเข้าอยู่ในโครงการนี้จะเป็นในแบบดูแลตลอดชีวิต แต่สัญญาจะทำเป็นระยะยาวที่ 30 ปีครับ ขายสิทธิการเช่าหรือปล่อยเช่าต่อไม่ได้ โดยต้องชำระค่าห้องและบริการจ่ายทั้งหมด ณ วันโอนสิทธิ *สำหรับกรณีคืนห้องก่อนกำหนด ทางโครงการจะคืนเงิน ค่าห้อง และค่าบริการ หากอยู่ไม่ครบ 30 ปี โดยหักเฉพาะปีที่ใช้ ปีละ 3.33%
อ่านบทความรีวิวต่อได้ที่นี่ https://bit.ly/3bVVnSY
2. HOF UDOMSUK โดดเด่นมากฟังก์ชั่น ที่จอดรถเยอะ ใจกลางอุดมสุข
หากใครที่คุ้นเคยกับย่านอุดมสุขก็จะพบว่าเป็นย่านที่เต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์ทั้งสมัยเก่าและใหม่เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่งถนน ซึ่งแม้จะรองรับในเรื่องการค้าขายและการอยู่อาศัยได้ดี แต่ก็มีข้อจำกัดมากในเรื่องของที่จอดรถ และทิศทางแสง ลม การระบายอากาศ และการดีไซน์อาคารที่เน้นความลึกเพียงอย่างเดียว ดังนั้น โครงการจึงเน้นในเรื่องของการนำงานดีไซน์มาใช้ในการแก้ปัญหาของความอับทึบ และมืดของอาคารตึกแถว โดยพื้นที่ภายในจะสามารถเปิดรับแสงแดดและลมประจำทิศให้สามารถเข้า-ออก และหมุนเวียนในปริมาณที่เพียงพอได้ทั่วทั้งอาคาร อันส่งผลต่อเนื่องไปสู่การช่วยลดปริมาณพลังงานในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในอาคารด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่ทำให้โครงการ HOF UDOMSUK แตกต่างไปจากอาคารทาวน์โฮมทั่วไป ก็คือลักษณะการออกแบบของพื้นที่ภายในให้มีความยืดหยุ่นเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้งานได้หลากหลายรูปแบบการออกแบบส่วนโครงสร้างและงานระบบให้สามารถรองรับการขยับขยายและการต่อเติมในอนาคต ซึ่งเป็นการรับประกันได้ว่าผู้ใช้งานจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และตอบสนองกับวิถีชีวิตในปัจจุบันที่มีความต้องการเชื่อมโยงของพื้นที่อาศัย และพื้นที่ทำงานให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
อ่านบทความรีวิวต่อได้ที่นี่ https://bit.ly/3mwmNEz
3. The Reserve Sukhumvit 61 ครบทุกองค์ประกอบของความหรูหราใจกลางเอกมัย
การพัฒนาคอนโดในกลุ่มเซกเมนท์ Luxury ขึ้นไป มักเน้นการพัฒนาโครงการด้วย 5 องค์ประกอบสำคัญ คือ ทำเล รูปแบบโครงการและการเลือกสรรรวัสดุ ความประณีตในการสร้างสรรค์ แบรนด์ และบริการสุดพิเศษสำหรับไลฟ์สไตล์เหนือระดับที่แตกต่างกันของลูกบ้าน ซึ่งในบรรดาองค์ประกอบทั้ง 5 ข้อนี้ ข้อ 2 และข้อ 3 คือสิ่งที่ค่อนข้างง่ายในการลอกเลียนแบบ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ตราบเท่าที่มีงบประมาณในการพัฒนา แตกต่างจากทำเล และแบรนด์ ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญว่าโครงการไหนคู่ควรกับราคาขายที่สุดแพง ตอบโจทย์กำลังซื้ออันมหาศาลจากกลุ่มมหาเศรษฐีทั่วโลกได้…โครงการ The Reserve Sukhumvit 61 นั้น มีแต้มต่อที่ชัดเจนมากที่สุดในเรื่องของทำเล ที่ไม่ว่าจะในปัจจุบันหรืออนาคตก็ไม่สามารถหาโครงการที่อยู่กึ่งกลาง เข้าออกได้สองทาง ทั้งทางฝั่งสุขุมวิท 61 และเอกมัย ได้อีกแล้ว (ยกเว้นโครงการ The Reserve 61 Hideaway ที่อยู่ข้างๆกันไว้ 1 โครงการ)
ซอยสุขุมวิท 61 เป็นซอยที่ตัดขาดความวุ่นวายของเส้นสุขุมวิท ไว้ด้วยบรรยากาศซอยแห่งการพักอาศัย รายล้อมด้วยบ้านพักส่วนตัวขนาดใหญ่ มีคอนโด low rise และ Serviced Apartment แบรนด์ดังค่าเช่าแพงในซอยเพียงกี่แห่งที่เป็นเพื่อนบ้าน ขับรถออกปากซอยก็เลือกที่จะเลี้ยวซ้ายหรือขวาได้เลย ทำให้ซอยสุขุมวิท 61 กลายเป็นซอยที่พักอาศัยที่สมบูรณ์แบบ ในขณะที่ซอยเอกมัย 1 ก็ยังอยู่ในรัศมีเอกมัยตอนใต้ที่มีครบทุกองค์ประกอบของความเป็นย่าน Central Millennials District โดยข้อจำกัดที่หลายๆคนรู้ดีเกี่ยวกับซอยเอกมัยก็คือปริมาณรถที่หนาแน่นแทบจะทุกช่วงเวลา จนทำให้ผู้ที่อยู่คอนโดในย่านนี้หลายๆคนน่าจะรู้สึกอิจฉาผู้ที่เป็นเจ้าของ The Reserve Sukhumvit 61 เพราะสามารถเข้าออกได้แบบสบายๆโล่งๆทางซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งก็คงจะพูดได้อย่างเต็มภาคภูมิว่านี่คือคอนโด Low Rise ระดับ Luxury ที่มีที่ตั้งที่ดีเยี่ยมที่สุดสำหรับกลุ่มผู้ซื้อกระเป๋าหนักที่ใช้รถยนต์เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง (ที่จอดรถ 100%) แต่หากใครอยากเดินทางด้วยรถไฟฟ้า สภาพของซอยสุขุมวิท 61 ที่มีความร่มรื่นพร้อมฟุตบาทขนาดใหญ่ ก็ดูจะเอื้อให้การเดินเท้าไปยังสถานีรถไฟฟ้าเอกมัยสะดวกมากจริงๆ (สามารถเดินเข้าไปใช้ Skywalk ของ Major Cineplex ได้เช่นเดียวกัน)
อ่านบทความรีวิวต่อได้ที่นี่ https://bit.ly/3sBhGa5
4. ครบเครื่องที่สุดในทองหล่อ! Noble FORM THONGLOR หนึ่งฟอร์มของการใช้ชีวิตที่ได้ทุกสิ่ง
Noble Form Thonglor (โนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ) เป็นแบรนด์ใหม่ใน Segment ระดับ Luxury ของ Noble ที่มีประสบการณ์สูงในการพัฒนาคอนโดย่านทองหล่อ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางไข่แดงของทองหล่อ รอบๆ โครงการไม่มีอาคารสูงมาบดบังวิวในระยะประชิด ทำเลดีใกล้ทุกย่านไลฟ์สไตล์ hangout ชั้นนำแบบที่เดินถึงง่ายสบายๆ
โดดเด่นด้วยการเป็นคอนโดมิเนียมที่มีสูงที่สุดของถนนทองหล่อเส้นหลักด้วยความสูงถึง 211 เมตร ออกแบบสถาปัตยกรรมสไตล์ Art Deco พร้อมลวดลาย Facade แนวนอน สลับฟันปลา อันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่าง มีพื้นที่ส่วนกลางเป็นพื้นที่สีเขียวสไตล์ Tivoli Garden ออกแบบโดย Shma มือดีด้าน Landscape อันดับต้นๆ ของไทย มีพื้นที่สีเขียวเยอะมากและใหญ่ที่สุดบนทองหล่อ
มีห้องพักอาศัยมีหลายขนาดให้เลือกตามราคาขายที่ตอบโจทย์ของ Real Demand คนทองหล่อ ไม่ว่าจะเป็นแบบ 1 Bedroom 2 Bedroom ที่มีทั้งแบบชั้นเดียว Simplex และ แบบ Full plex เพดานสูง 4.85 เมตรแบ่งเป็นสองชั้นในยูนิตเดียวกัน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเดี่ยวบนตึกสูง พิเศษตรงที่ห้องนอนชั้นสองมีห้องน้ำในตัวด้วย นอกจากนี้แต่ละยูนิตมีพื้นที่ Bay window เพิ่มมาให้เพื่อพักผ่อนริมหน้าต่าง บางยูนิต ออกแบบพื้นที่เปิดโล่งบริเวณทางเข้าทำให้ห้องดูอบอุ่นและโล่งสบายในคราวเดียวกัน
ทาง Noble ขาย Noble Form Thonglor แบบ Fully Fitted คือให้ห้องน้ำ ครัว แถมตู้ Built-in ให้ครบทุกฟังก์ชั่น ได้แก่ ตู้เก็บของ ตู้เสื้อผ้า ตู้ครัว และแถมตู้เย็นแบบ Built-in ให้อีกด้วย ถือว่าสเปคที่ได้จัดเต็มพร้อมมาก แค่ซื้อเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวเพิ่มเองนิดหน่อยก็อยู่ได้เลย และมี option พิเศษสำหรับคนที่อยากซื้อควบสองห้องเป็น Combined Unit เพื่อเพิ่มพื้นที่พักอาศัยและได้สิทธิ์จอดรถ 2 คัน ที่โครงการนี้จอดรถสะดวกสบายด้วย Auto Parking จำนวนมากถึง 50% ของยูนิตพักอาศัย
อ่านบทความรีวิวต่อได้ที่นี่ https://bit.ly/3HhIYGv
5. LANDMARK @ Grand Station จุดหมายใหม่ Mixed-Use ใจกลางรามอินทรา ใกล้ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์
ทำเลรามอินทรามีศักยภาพที่จะเป็น Node สำคัญแห่งใหม่ เนื่องจากรามอินทรามีศักยภาพมาก เพราะกำลังจะมีรถไฟฟ้า มีความพร้อมของที่ดินรอการพัฒนา มีปริมาณ Traffic คนในย่านนี้เยอะอยู่แล้ว มีห้างสรรพสินค้าและแหล่งงานอยู่แล้ว แต่สิ่งที่รามอินทรายังขาดก็คือโครงการระดับไฮเอนด์ที่เป็น Mixed Use มีครบทุกอย่างที่คนในย่านรามอินทรากำลังต้องการในแบบที่ไม่ต้องเดินทางเข้าตัวเมือง โครงการแบรนด์ Landmark จึงสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นแลนด์มาร์กของย่าน New-CBD ในทำเลต่างๆ ซึ่งปัจจุบันจะสร้าง 2 ทำเล ได้แก่ ทำเลถนนพระรามเก้าตอนกลาง และในย่านรามอินทราครับ
การแบ่งโซนต่างๆ โซนทาวเวอร์ C (ฝั่งทิศเหนือ) จะมีห้องพักอาศัยตั้งแต่ชั้น 4-22 ซึ่งจะแบ่งย่อยออกเป็น ชั้น 1 มี Lobby ร้านค้า ,ชั้น 2 เป็นสำนักงาน และเป็นที่จอดรถ (377คัน) ,ชั้น3 เป็นพื้นที่ Facility สระว่ายน้ำ , ห้องพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 4-5 เป็นห้องพักอาศัยสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์ , ชั้น 8-9 จะมีเพดานสูงพิเศษกว่าห้องอื่นจึงสามารถทำเป็นห้อง Co-living ได้, ส่วนห้อง Elder จะมีอยู่ในทุกชั้น ตกแต่งห้องน้ำพิเศษแบบ Universal Design สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ , ส่วนชั้น 6,7,12-22 นั้นจะเป็นห้องมาตรฐานทั่วไปครับ ส่วนโซน B ที่เป็น Cassia Residence จะมีทั้งห้องพักแบบ Branded Residence มี Facility และ Lobby แยกไปต่างหาก และยังมีห้องประชุม และห้องอาหารบนชั้นดาดฟ้า สเน่ห์ของโครงการ Mixed-Use อยู่ตรงที่การที่ลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบาย มีบริการอื่นๆ และร้านอาหารอยู่ใกล้ตัว โดยแทบจะไม่ต้องออกไปไหน และการดูแลในระยะยาวรูปแบบโรงแรมที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้ตัวก็จะเหมือนช่วยกันดูแลทรัพย์สิน ช่วยกันดูแลอาคารทั้งโครงการให้ใหม่อยู่เสมอ คอนโดมิเนียมแนว Mixed-Use ที่มีการบริหารจัดการแบบนี้จึงดีในระยะยาว ไม่ปล่อยตึกโทรมเหมือนโครงการคอนโดมิเนียมรูปแบบเดิมๆ
อ่านบทความรีวิวต่อได้ที่นี่ https://bit.ly/3JgyjOt