มากกว่า Ultra Luxury คือ Super Ultra Luxury แบบ Branded Residences ที่สุขุมวิท 38 ในราคาต่อตรม.ที่แพงที่สุดตั้งแต่ตั้งบ.อนันดามา

เพราะคลื่นมหาชนชาวต่างชาติกำลังถาโถม อนันดาจึงพร้อม “Ride The Wave” กับ 2 โครงการใหม่ มูลค่า 14,600 ล้านบาท และขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC มั่นใจเป้ารับรู้รายได้โต 20% ถึง 14,500 ลบ. เป้ายอดขาย 18,000 ลบ.

“ก่อนอื่นผมรู้สึกเหงาๆ งงว่าอะไรจะเกิดขึ้น Business Model ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร บริษัทเราจะมีความหมายต่อไปรึเปล่า ช่วงโควิดเราทำ Urban Condo แต่ไม่มีใครอยากอยู่ในเมือง เรามี Service Apartment กลางเมือง 5 โครงการ แต่ไม่มีใครอยากอยู่ รถไฟฟ้าเงียบเหงา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเป็นผู้นำ แต่ตอนนี้เราเป็นอะไร มันหมดยุคของเราแล้วหรือยัง Urban Living Solutions ของเราควรจะ Disrupt ให้เป็น Strategic Move หรือเปล่า เราเห็นเพือนในวงการของเราหลายรายเริ่มเทขายเอาเงินสดเป็นหลัก แต่เรายิ่งคิดหนักมากจนเชื่อว่าทุกธุรกิจต้องมีขึ้นและลง เช่นเดียวกับอสังหาที่เราต้องหาจุด Balance ของบริษัทให้ได้คือ Balance Cash Flow ซึ่งเรามีทรัพย์สินที่มีค่ามากๆคือที่ดินที่เป็น Bluechip และกลยุทธ์ Ride The Wave เกิดขึ้นเพราะวงการนักธุรกิจใหญ่ๆล้วนมองว่า Post Covid ชาวต่างชาติซึ่งเป็น Global Citizen มาแน่ๆ โดยเฉพาะชาวจีนที่เห็นเมืองไทยเป็นบ้านหลังทีสองเพื่อเป็น Plan B ในการอยู่อาศัย ซึ่งจากที่เรามี Stock Bulechip ตืดรถไฟฟ้า 30 โครงการมากถึง 45,000 ลบ. ในแบบที่อยู่ได้เลยทันที ทำให้ตอนนี้ถึงเวลาของเราแล้ว ยิ่งถ้าราคาที่ดินสูงมากยิ่งขึ้น โครงสร้าง Infra ของที่อยู่อาศัยก็จำเป็นจะต้องสร้างให้สูงมากกว่าสร้างแนวราบ ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติมองว่าเซกเมนท์ Branded Residences สำคัญมากๆ และส่วนใหญ่แล้วเมืองนึงจะมีแค่ 1 แบรนด์เท่านั้น ซึ่งเรากำลังเจรจาในระดับ Market Cap ที่ 100 Million USD ที่สุขุมวิท 38…”คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

ปีนี้อนันดาลุยเปิด Branded Residences ในระดับ Super Ultra Luxury บนทำเลสุขุมวิทต่อเลย (คาดว่าจะเป็นที่สุขุมวิท 38) พร้อมเปิดคอนโดอีก 1 โครงการที่ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย ซึ่งกลับมาใหม่พร้อมห้องแบบ Hybrid New Series ครับ ซึ่งมีเซอร์ไพร์สอีก 1 อย่างคือธุรกิจใหม่ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการที่ Tailored Made ตามความต้องการของนักลงทุนสถาบัน ที่ตั้งชื่อว่า APSMC (Ananda Professional Services and Management Consultancy” ในแบบ Total Solutions และเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตตามแผนที่วางไว้ ) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงขั้นสุดท้าย กับบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ U City เดิม เพื่อบริหารและพัฒนาโครงการแรกบนทำเล Prime Area บริเวณสุขุมวิท 38 (ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) ซึ่งจะเป็นโครงการในรูปแบบ Mix Used ที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และ Food and Beverages โดยในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะมีความร่วมมือในโครงการอื่นๆ ลักษณะเดียวกันนี้ทั้งกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ และพันธมิตรรายอื่นๆ ต่อไป

““Ananda Ride the Wave” คือกลยุทธ์หลักเพื่อเตรียมรับโอกาสที่กำลังจะเข้ามา ซึ่ง อนันดาฯ มองเห็นโอกาสจากการที่ต่างชาติเปิดประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนที่มีความต้องการโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลศักยภาพ นอกจากนี้ อนันดาฯ มีความพร้อมเป็นอย่างมากเพื่อรองรับดีมานด์ดังกล่าว โดยมีสินค้าที่ดีและมีคุณภาพพร้อมอยู่พร้อมโอนบนทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ (Blue Chip Location) ครบทุกเซกเม้นท์ ในราคาที่ยังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาของที่ดินที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพคอนโดติดรถไฟฟ้าว่ายังเป็นสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตของคนเมืองได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังตอบรับโอกาสทางธุรกิจในส่วนของ Branded Residence ที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอนันดาฯจับมือพันธมิตรระดับโลก พร้อมสร้างปรากฏการณ์เซ็ตมาตรฐานบทใหม่แก่วงการอสังหาฯ เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ในระดับลักชัวรี่ที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ด้วยการเปิดตลาด SUPER ULTRA LUXURY บนถนนสุขุมวิท เป็นราคาต่อตรม.ที่สูงที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจมา ซึ่งจะเป็นที่สุดของความร่วมมือสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย

และในส่วนของธุรกิจ Serviced Apartment ตอนนี้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้ง 5 โครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่กรุงเทพฯและพัทยา ( โครงการซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 / โครงการแอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก / โครงการแอสคอทท์ เอ็มบาสซี สาทร / โครงการไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก / โครงการซัมเมอร์เซ็ต พัทยา ) ที่ได้รับปัจจัยบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศ

คุณประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อนันดาฯกำลังจะ “Sexy” ขึ้นจาก Big Move ในปีที่แล้วสู่ Ride The Wave ในปีนี้ ปีที่แล้วเราขาบู๊ แต่ปีนี้เราจะเร่งสปีดทำกำไรให้เร็วขึ้นจาก Profit Center ทั้ง 4 แหล่ง อันประกอบด้วย Core Business คือ Real Estate, The Works, The Agent/ Management Fee จาก JV และ APSMC/ Recurring Income จาก Serviced Apartments และ/ New Business จาก Education Technology โดย XLAB Digital ซึ่งในปีที่แล้ว แม้จะเห็นตลาดรวมโตถึง 21% แต่ก็เรียกได้ว่า รวยกระจุกจนกระจาย เพราะมีแต่รายใหญ่เพียงไม่กี่โครงการเท่านั้นที่ Take All ไป ผู้เล่นรายใหญ่ 6 รายเป็นตัวขับเคลื่อนตลาด ที่เราจัดงานแถลงข่าววันนี้เพราะเราต้องการที่จะรู้ว่าบริษัทอื่นๆจะเปิดกันเท่าไหร่ โดยปีนี้แค่ 7 บริษัทก็ประกาศเปิดตัวไปหลายแสนลบ.แล้ว หมายความว่าความมั่นใจกลับมาเต็มที่แล้ว ซึ่งบริษัทฯมีแผนรองรับการกลับมาของตลาดอสังหาฯ และดีมานด์ของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างชาติ โดยการนำเสนอสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอนซึ่งมีโครงการ Inventory ที่แข็งแกร่งมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท แบ่งตามพอร์ตดังนี้ คือ โครงการที่เป็น RTM (READY TO MOVE) มูลค่า 34,284 ล้านบาท โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปี 2023 มูลค่า 10,012 ล้านบาท คือ Ideo Chula – Samyan, Artale Asoke – Rama 9 และ Anda ราชพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ และมี Total Inventory ที่ 74,368 ลบ. จาก 37 โครงการ (คอนโด 64,017 ลบ.และแนวราบ 10,351 ลบ.) พร้อมตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท (เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา) เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯวางแผนการทำการตลาดในรูปแบบของ ANANDA URBAN CARAVAN นำโครงการพร้อมอยู่ ไปเสิร์ฟถึงมือให้กับกลุ่มลูกค้า GEN-C ด้วยกิจกรรม Roadshow สไตล์คนเมือง ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังเตรียมความพร้อมในการบุกตลาดต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอนันดามี Foreigner Quota มากที่สุด ถึง 22,836 ลบ.โดยเป็นพอร์ต RTM 15,500 ลบ. ในขณะที่รายอื่นขายออกไปหมดแล้ว ซึ่งยอดขายในเดือนมค.ที่ผ่านมามาจากยอดขายชาวต่างชาติถึง 67% โดยมีการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพและแข็งแกร่ง เพื่อตอบรับการที่ต่างชาติเปิดประเทศ โดยนำโครงการระดับพรีเมี่ยมพร้อมการบริการที่มีมาตรฐานในระดับสากลออกสู่ตลาดต่างประเทศอีกครั้ง ที่สำคัญคืออัตรา GP ของบริษัทฯสามารถเขยิบจาก 25 เป็น 30.6% ได้ใรปีนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ยืนยันในความแข็งแกร่งด้านการเงินรวมถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ทั้งการมีโครงการ Inventory บนทำเลที่ดีที่สุดรองรับการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง และมั่นใจว่าจะมีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน ในส่วนของการสนับสนุนจากพันธมิตรยังคงได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีและต่อเนื่อง จากพันธมิตรชั้นนำระดับอินเตอร์เนชั่นแนล และพันธมิตรชั้นนำของไทย เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน

สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการในระดับแฟลกชิพ มูลค่ากว่า 14,600 ล้านบาท โดยประกอบด้วย

1. New Branded Residence บนทำเลสุขุมวิท 38 ซึ่งเป็นความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก ( World Class Partner ) ที่ถือได้ว่า จะเป็นที่สุดของความร่วมมือในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งมูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท และมีราคาต่อตรม.สูงที่สุดของอนันดา

2. โครงการ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย เพียง 0 ม. จากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควาย กับ Design Concept ใหม่ห้อง Hybrid New Series แบบ Culture Chula เพื่อชีวิตคน GEN C ด้วยที่สุดของทำเล อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของคนเมือง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ และส่วนกลางแนวคิดใหม่ เพื่อทุกโหมดของการใช้ชีวิต LIVE – WORK – PLAY – LEARN มูลค่าโครงการประมาณ 8,100 ล้านบาท

นอกจากนี้อนันดาฯ ยังมุ่งพัฒนาด้าน Tech Education เพื่อเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอล มีจุดมุ่งหมายให้ไทยก้าวทันการพัฒนาด้านดังกล่าวทัดเทียมหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน บริษัทฯ จึงจัดตั้ง The Master Academy (TMA) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างทักษะและเสริมความคิดในทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีดิจิตอล โดยเริ่มจากการ upskill / reskill โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเปิดตัวหลักสูตร The Data Master ทำหน้าที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลหรือ Data Scientists ซึ่งปัจจุบันมีไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ โดยในอนาคตมีแผนที่จะพัฒนาสู่หลักสูตรอื่นๆ เช่น Blockchain และ Cyber Security ร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเน้นการนำไปใช้ได้จริง รวมถึงความร่วมมือกับ Singularity University (SU) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย

สำหรับแผนลงทุนการซื้อที่ดินใหม่สำหรับปี 2566 บริษัทฯได้วางงบประมาณรวมไว้ที่ 5,860 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,260 ล้านบาท สำหรับ โครงการแนวราบ 2 โครงการ / 3,500 ล้านบาท สำหรับโครงการคอนโด 2 โครงการ และ 1,100 ล้านบาท สำหรับ Serviced Apartments ใหม่ 2 โครงการ ( ซึ่งมูลค่าโครงการรวมทั้งหมดประมาณ 17,600 ล้านบาท )