สิงห์ เอสเตทเดินหน้าปั้นธุรกิจใหม่ หวังกลยุทธ์ 4 ประสานจะช่วยเติมเต็มธุรกิจปัจจุบันให้แกร่งทั่วแผ่น ตั้งเป้าโต 3 เท่าภายใน 3 ปี
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (S) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย คือบริษัทที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ด้วยฐานะการเงินอันแข็งแกร่ง และมูลค่าสินทรัพย์มากกว่า 65,000 ล้านบาท แม้ว่าจะเพิ่งเปิดตัวบริษัทมาได้เพียงไม่กี่ปี เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวล้วนมาจากกลยุทธ์ที่ทาง สิงห์ เอสเตท ทำมาตลอดก็คือการมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูงทั้งในและต่างประเทศ เพื่อสร้างฐานรายได้อย่างก้าวกระโดดด้วยพอร์ทการลงุทนที่มีความสมดุล และหลากหลายจากการพัฒนาธุรกิจอสังหาเพื่อการพาณิชย์ ทั้งพื้นที่ค้าปลีก และพื้นที่สำนักงานให้เช่า ธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม และธุรกิจโครงการที่พักอาศัย ซึ่งก็ต้องบอกเลยว่าทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจดังกล่าว ได้ทำรายได้ให้บริษัทโดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 96% ของรายได้ทั้งหมด แต่ท่ามกลางความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่ทั่วโลกต้องเผชิญอยู่จากสถานการณ์ Covid – 19 ตลอดกว่า 1 ปีที่ผ่านมา และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ ส่งผลกระทบต่อวงจรในการดำเนินธุรกิจจากทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ และต้องทำให้เร็วเพื่อให้สอดรับกับวิถีชีวิตของคนทั่วโลกที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ในมุมมองของบริษัทฯ ภายใต้การนำของประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ จึงได้เล็งเห็นโอกาสสำคัญในการรุกเข้าสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ที่ยังไม่ค่อยมีบริษัทพัฒนาอสังหาฯกระโดดเข้ามาทำอย่างจริงจัง จนเป็นผู้นำเบ็ดเสร็จ นั่นก็คือ พัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรม ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจให้บริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ ทั้งในประเทศ และระดับโลก ซึ่งธุรกิจดังกล่าวจะกลายเป็นหน่วยธุรกิจที่ 4 และเป็นจิ๊กซอร์ชิ้นสำคัญ ที่พร้อมจะเข้ามาเติมเต็ม 3 ธุรกิจปัจจุบัน ให้แกร่งยิ่งขึ้น และยังช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี ได้อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีวงจรทางธุรกิจแตกต่างกัน และมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
Singha Complex สำนักงาน หัวมุมถนนอโศก
เพื่อเป็นการตอกย้ำว่านี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้อง ในการจัดธุรกิจท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงแบบนี้ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท จึงเล่าภาพรวมถึงกลยุทธ์ดังกล่าวว่า “ปีนี้เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่เรากำลังเข้าสู่เฟสต่อไปของการพัฒนาธุรกิจของสิงห์ เอสเตท โดยเราจะเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำสิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในธุรกิจแถวหน้าของประเทศไทยที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด และสร้างผลตอบแทนที่ดี”
“ในช่วงที่ผ่านมา เราให้ความสำคัญกับการนำบริษัท เดินทางจากจุดเริ่มต้นในฐานะบริษัทของครอบครัว ที่บริหารจัดการสินทรัพย์และดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล มาสู่การเป็นบริษัทมหาชน ที่มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ มีสินทรัพย์อยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย กระจายอยู่ในหลายภูมิภาค สำหรับตอนนี้ เมื่อเรามองไปที่เส้นทางข้างหน้า เราเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ในขณะเดียวกัน เรายังเดินหน้ามองหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ในระดับโลก ไปพร้อมกันด้วย”
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ขึ้น 3 เท่าตัว ให้กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลาสามปี พร้อมกับสร้างธุรกิจให้มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มขึ้น จาก 65,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563 ไปเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสินทรัพย์ 80,000 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 และในขณะเดียวกัน ก็ตั้งเป้าเพิ่มอัตราผลกำไรในการทำธุรกิจด้วย
“การพัฒนาโครงการขนาดยักษ์หลากหลายโครงการในประเทศไทย และการเดินหน้าบูรณาการธุรกิจต่างๆ ของสิงห์ เอสเตท ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยผนึกกำลังธุรกิจโรงแรม ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์และอุตสาหกรรม เข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า และธุรกิจให้บริการด้านนวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ จะสร้างความได้เปรียบเชิงธุรกิจให้กับสิงห์ เอสเตท ได้อย่างมหาศาล และเพิ่มความสามารถในการคว้าโอกาสทางธุรกิจใหญ่ๆ ที่กำลังจะมีเข้ามา” นางฐิติมากล่าว
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท
นางฐิติมา กล่าวต่อไปว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งยืนยันการตัดสินใจที่ถูกต้องของบริษัทฯ ในการวางโครงสร้างธุรกิจเป็น 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน “เพื่อจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี ได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก”
ในปี 2563 ที่ผ่านมา 3 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 96% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทฯ
“เราหวังว่าจากนี้เป็นต้นไป กลุ่มธุรกิจที่ 4 จะเป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแกนหลักมาแต่เดิม และจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมากมาย” นางฐิติมากล่าว