ตั้งแต่ COVID-19 บุกทั้งโลก ทำให้เศรษฐกิจทุกวันนี้เรียกว่าเป็น เศรษฐกิจยุคโรคระบาดหรือ Epidemic Economy มนุษย์เราตอนนี้อาจจะต้องหยุดชะงักกิจกรรมทางเศรษฐกิตเกือบทุกอย่างลงไป แต่เชื่อเถอะว่ามนุษย์ก็คือมนุษย์ จะสามารถปรับตัวเข้าสู่โลกยุคโรคระบาดได้อย่างดี

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ต้องมาอย่างแน่นอนและจะทำให้มนุษย์มีพฤติกรรมใหม่ เนื่องจากในอนาคตคาดว่าจะมีโรคอุบัติใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปีนี้ COVID-19 อาจจะหมดภายใน 10 เดือนหรือ 2 ปีข้างหน้า แต่เราไม่มีทางมั่นใจว่าจะไม่มี COVID-2022 หรือจะมีโรคร้ายอื่นๆ อีกหรือไม่ สิ่งที่มนุษย์ทำได้คือการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ตัวเองยังคงอยู่รอดบนดาวโลกดวงนี้ต่อไป

ด้วยเหตุผลเรื่องโรคระบาด ย่อมส่งผลต่อชีวิตของผู้คนและที่อยู่อาศัย เรามาดูกันว่าเทรนด์การอยู่ในคอนโดมิเนียมในยุคโรคระบาดแบบนี้จะเป็นอย่างไร และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ควรจะหยิบจับเทรนด์ไหนมาทำเพื่อตอบโจทย์ demand ลูกค้าที่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตที่สูงขึ้นอย่างไร

10 เทรนด์คอนโดในยุคโรคระบาด

1. Luxury = More Space & More Privacy

ที่อยู่อาศัยที่มีความหรูหราขั้นสูงสุดของยุคโรคระบาดก็ย่อมเป็นบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่มีบริเวณว่างรอบข้างอย่างแน่นอน แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเลือกบ้านเดี่ยวแบบนั้นได้ คอนโดมิเนียมจึงยังเป็นที่อยู่อาศัยที่คนยังเลือกอยู่

คอนโดมิเนียมที่เรียกได้เต็มปากว่าหรูหรา จะไม่ใช่การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่ดูหรูหราสวยงามอีกต่อไป ไม่ต้องมีสระว่ายน้ำ ไม่ต้องมีฟิตเนส ไม่ต้องมีห้องส่วนกลางอะไรทั้งนั้น แต่ความหรูหราจะถูกตีความมาจากพื้นที่ภายในห้องพักอาศัย เพราะคนยุคโรคระบาดจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในบ้านเป็นเวลาส่วนใหญ่ตามวัฒนธรรม Stay at Home, Work From Home ดังนั้นพื้นที่ส่วนกลางจึงไม่จำเป็น ผู้พัฒนาอสังหาต้องต้องขยายพื้นที่ส่วนตัวหรือ Privacy Space ให้กับลูกค้ามากขึ้น หรือลด facility น้อยลงแต่ขยายห้องพักอาศัย เพราะอย่าลืมว่าความหรูหราในยุคโรคระบาดจะตีค่าออกมาตามขนาดของพื้นที่และความเป็นส่วนตัว ไม่อยากต้องการมีส่วนร่วมกับใคร

2.Good Ventilation

คอนโดมิเนียมยุคโรคระบาดจำเป็นต้องออกแบบให้พื้นที่ส่วนกลางมี close space น้อยที่สุด แต่ควรออกแบบให้มี open space และ semi-open space มากขึ้น เช่น โถงทางเดิน corridor ควรออกแบบให้มีลมพัดผ่านตลอดเวลาได้เสมอ ควรมี ventilation ดีเยี่ยม ควรดึงธรรมชาติเข้ามาใช้ประโยชน์ ควรมีการเว้นช่องแสงให้แสงแดดส่องเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลาง การออกแบบ Lobby จะเปลี่ยนไป Lobby ประเภทที่เป็นพื้นที่ close space ต้องติดแอร์ตลอดเวลาจะล้าสมัยและไม่มีใครอยากได้ ยุคโรคระบาดนี้จะต้องเป็น semi-open lobby เท่านั้น เพื่อการมีลมผัดผ่านช่วยให้เชื้อโรคไม่ลอยวนไปมาในห้อง

นอกจากนี้ระบบการระบายอากาศจะกลายเป็นคำถามที่ผู้พักอาศัยเริ่มตั้งคำถามว่าเป็นระบบอย่างไร มีมาตรฐานการระบายอากาศเทียบเท่าโรงพยาบาลหรือไม่ และลูกค้าจะทำอาหารเองกันมากขึ้นจึงถามว่าครัวมีระบบระบายอากาศแบบไหน

การออกแบบคอนโดมิเนียมในยุคโรคระบาดอาจจะต้องมีการร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์หรือนำแนวคิดการออกแบบโรงพยาบาลมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย ซึ่งเป็นโจทย์ให้ผู้พัฒนาอสังหาต้องขบคิดกันมากขึ้น

เทรนด์ความสนใจของห้อง Studio และ 1 bedroom ที่มีขนาดเล็กๆ จะลดความนิยมลงไปเพราะคนอยู่จะรู้สึกอึดอัด ขนาดห้องจะขยายออกมาเป็นอย่างน้อย 40 ตารางเมตร นอกจากนี้เทรนด์ห้องแบบ 1 bedroom Plus, 2 bedroom, 3 bedroom จะได้รับความสนใจมากขึ้น

แต่ถ้ากลุ่มตลาด affordable อาจจะยังคงมีดีมานด์ห้อง Studio และ 1 Bedroom อยู่เพราะราคาที่ซื้อหาได้จริง แต่ห้องแบบนี้ต้องมาพร้อมกับฟังก์ชั่น flexible furniture แทนเพื่อปรับเปลี่ยน space ให้ใช้งานได้คุ้มค่าหลากหลายมากขึ้น เช่น เตียงที่สามารถพับเก็บขึ้นไปติดผนังเปลี่ยนพื้นที่เป็น space ออกกำลังกายส่วนตัวได้ เป็นต้น

นอกจากนี้พื้นที่ในแต่ละ space จะมีการปรับเปลี่ยน เช่น ห้อง 2 Bedroom จะไม่มีห้องน้ำกลางแต่ต้องมีห้องน้ำแยกเป็นสัดส่วนของใครของมันเพื่อสะดวกเมื่อจำเป็นต้องมีการ Quarantine กักตัว, ห้องน้ำอาจจะต้องมีจำนวนเยอะขึ้นซึ่งต้องไปแลกกับขนาดที่เล็กลง การตัดบางฟังก์ชั่นออก การตัดโซนเปียก-แห้งออกไป การลดขนาดอ่างล้างมือ การควบรวมอ่างล้างมือเข้าไปอยู่กับโซนอาบน้ำ , ฟังก์ชั่นครัวต้องใช้งานได้จริงหรือมีครัวขนาดใหญ่ขึ้นเพราะลูกค้าทำอาหารกินเองเป็นส่วนใหญ่, มี Cleaning Space พื้นที่ทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้าพื้นที่อื่นๆ เช่น ห้องน้ำและเครื่องซักผ้าจะถูกย้ายไปติดกับประตูทางเข้าเพื่อเข้ามาแล้วก็ล้างมืออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ห้องอื่นๆ ต่อไป

3. Waste management

ประเด็นการจัดการของเสียและขยะจะถูกถามถึงมากขึ้น การจัดการขยะเป็นอย่างไร แยกขยะไหม การออกแบบห้องขยะเป็นอย่างไร มีโซนขยะติดเชื้อหรือไม่ ถ้าไปทิ้งขยะในห้องขยะแล้วจะติดเชื้อกลับมาไหม มีระบบป้องกันอย่างไร มีกล้องวงจรปิดในห้องขยะไหม ระบบการจัดการขยะภายในโดยนิติบุคคลอาคารชุดเป็นอย่างไร มีถังขยะสดเปลี่ยนเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือไม่ นโยบายการลดขยะเป็นอย่างไร ระบบบำบัดน้ำเสียก่อนทิ้งเป็นอย่างไร

เงินค่าส่วนกลางจะถูกย้ายจาก facility ดั้งเดิมเช่น สระว่ายน้ำ ฟิตเนส จะกลายมาลงทุนกับการจัดการขยะมากขึ้น

4. Outdoor Gym

Indoor gym หลบไป แต่ outdoor gym พร้อม landscape จะมาแทน
พฤติกรรมการออกกำลังกายจะย้ายออกจากห้องฟิตเนสติดแอร์ไปอยู่ข้างนอกแทน ฉะนั้นคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่กว้างๆ มีพื้นที่สีเขียวเยอะๆ สามารถออกแบบ landscape design ได้หลากหลายจะได้เปรียบกว่าโครงการที่มีพื้นที่ขนาดเล็กกว่า

5. The end of Co-Space

หมดเวลาของ Co-working space, Co-Living Space, Co-Kitchen area, Kids Room ไปแล้ว เพราะห้องพื้นที่ส่วนกลางจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ไม่มีใครอยากใช้

เนื่องจากคนจะทำงานในห้องพักของตัวเอง ดังนั้นห้อง Co-working Space จะถูกเปลี่ยนเป็น Co-Sharing Internet แทน เพราะคนยุคโรคระบาดต้องการระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมากๆ ชนิดที่เร็วเหมือนใช้ในระดับบริษัท เป็นระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้ร่วมกันทั้งโครงการ ค่าใช้จ่ายดูแลห้อง Co-working Space จะถูกเปลี่ยนเป็นค่าอินเทอร์เน็ตที่จะรวมในค่าส่วนกลางแล้ว

ส่วน Co-living space , Co-kitchen space

จะไม่ถูกบรรจุอยู่ใน facility list ของคอนโดยุคโรคระบาดอีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนเป็นห้องจัดการพัสดุและรับสินค้าออนไลน์แทน ซึ่งจะมีพื้นที่ล้างมือและฉีดพ่นแอลกอฮอล์ โซนเก็บพัสดุรอคนมารับ โซน unpack area จัดการขยะบรรจุภัณฑ์โดยไม่ต้องเอากล่องกระดาษขึ้นไปห้องพักอาศัย เป็นต้น

6. Urban…No! Suburban…Yes!

เมื่อทำเลใจกลางเมืองที่คนกระจุกๆ คนแน่นๆ จะไม่เป็นปลื้มอีกต่อไป
คนจะยอมออกไปอยู่ทำเลไกลขึ้นเพื่อให้มีพื้นที่ทุกอย่างกว้างขึ้น ทั้งพื้นที่ภายในห้องพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นพื้นที่สีเขียว คนจะชอบทำเลที่มีหนาแน่นน้อยลง และขอสัมผัสใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น ไม่แคร์ทำเลใจกลางเมือง และไม่แคร์ public transportation เพราะใช้น้อยลง แต่แคร์ที่จอดรถส่วนตัวที่มีอัตราส่วนประมาณ 70-100% จากยูนิตทั้งหมดเพราะขับรถส่วนตัวมากขึ้น

การออกแบบพื้นที่สีเขียวที่ใช้สำหรับออกกำลังกายจะต้องคำนึงถึงเรื่อง physical distancing ด้วยว่าห่างแค่ไหนถึงจะปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่แค่ 2 เมตร แต่ต้องมากกว่านั้น ดังนั้นยิ่งโครงการมีพื้นที่สีเขียวกว้างมากเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดี

7. Higher…Cheaper

ยิ่งสูง ราคายิ่งถูก เทรนด์นี้จะกลับตาลปัตรกับแนวคิดดั้งเดิมที่ว่ายิ่งอยู่ชั้นสูงยิ่งราคาแพง
ในคอนโดมิเนียม Low-rise ห้องชั้นเตี้ยจะได้เปรียบกว่าในเรื่องความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากกว่า เพราะในอนาคตชั้น 1-4 จะถูกเปลี่ยนเป็นยูนิตพิเศษขนาดใหญ่ขึ้นและเปลี่ยนให้เป็นฟังก์ชั่น duplex triplex quadruplex เหมือนทาวน์โฮม 2-4 ชั้น โดยยูนิตพิเศษเหล่านี้จะมีที่จอดรถส่วนตัว มีประตูทางเข้าส่วนตัวไม่แชร์กับใคร มีบันไดส่วนตัว ส่วนยูนิตที่อยู่ชั้นสูงๆ จะเป็นห้องขนาดเล็กกว่าและจะถูกบังคับให้ไปใช้ลิฟต์ร่วมกับคนอื่นๆ เพราะไม่มีทางเข้าส่วนตัว

ในคอนโดมิเนียม High-rise รูปแบบใหม่ การเลือกอยู่ชั้นยิ่งสูงเท่าไหร่นั่นเท่ากับเวลาที่อยู่ในลิฟต์ยิ่งนานขึ้นตามไปเท่านั้น คนในยุคโรคระบาดจึงมองว่าอยากอยู่ชั้นเตี้ยๆ มากกว่าเพื่อให้ตัวเองอยู่ใกล้กับชั้นลานจอดรถมากที่สุด และควรมีบันไดที่สามารถเดินขึ้นชั้นพักอาศัยได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าลิฟต์

8. Smart Disease Screening & Smart Security System

คอนโดยุคโรคระบาดต้องมีระบบการคัดกรองโรคอัตโนมัติอัจฉริยะ เช่น ระบบสแกนใบหน้า face recognition พร้อมบันทึกอุณหภูมิ เพื่อคอยระแวดระวังโรคระบาด คนพักอาศัยจะยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวในระดับหนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้

ระบบเทคโนโลยีการรักษาปลอดภัยแบบไร้มนุษย์จะได้รับความสนใจมากขึ้น เช่น ระบบสแกนใบหน้าเพื่อเปิดปิดประตู ระบบไม้กั้นคนเดินเหมือนในสถานีรถไฟฟ้า ระบบประตูที่เปิดเองได้โดยไม่ต้องใช้มือแตะ พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เป็นมนุษย์จะทำงานอยู่ในห้อง control room แยกออกเป็นส่วนตัวเพื่อดูแลทุกคนในโครงการผ่านกล้องวงจรปิดและ sensor ต่างๆ รอบอาคาร และจะปฏิบัติตาม protocal ขั้นตอนระงับเหตุร้ายต่างๆ ตามที่ได้ตั้งเอาไว้ ซึ่งความต้องการลักษณะเฉพาะแบบนี้จะทำได้โดยบริษัทรักษาความปลอดภัยที่มุ่งเน้นเทคโนโลยี

นอกจากนี้บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่มีมาตรฐานการดำเนินงานเพื่อความปลอดภัยทั้งด้านทรัพย์สินและสุขภาพที่ออกแบบมาดีตั้งแต่ต้น บริษัทที่มีการลงทุนด้านบริหารจัดการอาคารให้ถูกสุขลักษณะจะได้รับความสนใจมากกว่าคู่แข่งที่ไม่มีความสามารถด้านนี้ หากบริษัทใดไม่มีความสามารถตรงนี้ก็จำเป็นต้องเป็นสมาชิกหรือซื้อบริการจากผู้ประกอบการที่ทำงานเชี่ยวชาญด้านนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ลูกค้ากังวลและอยากได้

9. Automated Property Management

คอนโดมิเนียมในยุคโรคระบาดจะต้องมีระบบการดูแลคอนโดที่ทันสมัย ระบบ smart meter มิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟฟ้าอัตโนมัติที่สามารถบอกค่าต่างๆ ได้เองและมีข้อมูลเชื่อมโยงเข้า application หรือเว็บไซต์สำหรับลูกบ้าน มีระบบอำนวยความสะดวกในการบริการรับจ่ายเงินค่าต่างๆ การตัดเงินผ่านบัตรเครดิตอัตโนมัติหรือจ่ายผ่าน cashless วิธีต่างๆ

อนาคตการออกแบบอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องจะใช้แนวคิด zero maintenance หมายถึง การซ่อมบำรุงเป็นศูนย์ โดยการออกแบบเดินระบบต่างๆ ให้เป็น plug and play เสียก็ซื้อเสียบใหม่ ไม่ต้องซ่อม ไม่ต้องใช้คนซ่อม

10. Cleanimalist

เทรนด์ “Clean+Minimalist น้อยนิดสะอาดมาก” นี้จะเป็นสิ่งที่คนหันมาสนใจทำมากขึ้น ผู้คนจะสะสมสิ่งของน้อยลง แต่ใส่ใจเรื่องความสะอาดมากขึ้น จึงเลือกอยู่ในสถานที่ที่ออกแบบมาให้ทำความสะอาดอัตโนมัติได้ง่าย รวดเร็ว ทำสะอาดป้องกันเชื้อโรคได้บ่อยครั้ง

10 เทรนด์ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่คนทั่วไปจะนิยมกันมากขึ้น เพราะอนาคตเรื่องของโรคระบาดจะใกล้ตัวเราและจะเพิ่มความถี่มากขึ้นจนทำให้คนจะต้องเร่งปรับตัว ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพืื่อความอยู่รอดอย่างปลอดภัย