ต้องบอกว่าปกติแล้วเรามักจะไม่ค่อยเห็นแบรนด์บ้านโฮมออฟฟิศจากเอพีอย่าง District (ดิสทริค) เข้ามาทำตลาดมากเท่าไหร่ครับ แตกต่างจากแบรนด์บ้านแฝดอื่นๆทั้ง บ้านกลางเมือง The Edition และ บ้านกลางเมือง Classe ที่มีโครงการเปิดใหม่แทบจะทุกไตรมาส โดยในปัจจุบันโครงการภายใต้แบรนด์ District มักจะมี Perception ในเรื่องของการเป็นโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ที่มอบ value for money ราคาเพียแงแค่ 3 – 4 ลบ.สำหรับการทำกิจการค้าขายบนทำเลใจกลางย่านชุมชนแถบชานเมือง…แต่กับแบรนด์ล่าสุดอย่าง District Sukhumvit 77 นี่ต้องบอกว่าเป็การพลิกโฉม Uplift ครั้งสำคัญของแบรนด์ นับตั้งแต่การเปิดตัว District โครงการแรกที่ศรีวราเลยครับ กับคอนเซปท์การออกแบบที่เปิ่ยมด้วยมนต์เสน่ห์อันงดงามสุดดึงดูดใจในสไตล์ New York Renaissance Revival ที่นำเอาเอกลักษณ์ของงานสถาปัตยกรรมอันงดงามเหนือกาลเวลาที่มหานครนิวยอร์ก ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อเนื่องต้นศตวรรษที่ 20 มาดีไซน์ใหม่ให้เป็นอาคารบ้านแฝดสูงตั้งแต่ 3.5 – 5 ชั้น ที่ยังคงอัตลักษณ์เฉพาะตัวอย่างเช่น Facade แบบสมมาตร ที่มี การแบ่งสัดส่วนระหว่างชั้นที่แตกต่างกันออกไปให้เห็นชัดเจนด้วยอิฐสีแดง ตัดกับปูนสีขาว กระจกบานใหญ่ และโลหะรูปทรงซุ้มโค้งสีดำ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นสไตล์การออกแบบที่แตกต่างจากโฮมออฟฟิศทุกแห่งที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าด้วย Space & Style ที่มีแต้มต่อที่มากกว่า จึงช่วยสะท้อนภาพลักษณ์อันโดดเด่นของธุรกิจคุณ เช่นเดียวกับมอบภาคภูมิใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ในทุกครั้งที่มีลูกค้าแวะมาเยี่ยมชมครับ

ที่นี่จะเรียกว่าติดถนนใหญ่เลยก็ได้ครับ เพราะอยู่ที่บริเวณ AP Community บริเวณซอยอ่อนนุช 21 ที่ประกอบไปด้วย ASPIRE สุขุมวิท – อ่อนนุช และ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ สุขุมวิท 77 (อนาคตจะมีคอนโดอีก 1 โครงการขึ้นตรงนี้อีก) โดย District Sukhumvit 77 จะอยู่ช่วงบริเวณด้านหน้าติดถนนใหญ่ และติดถนนทางเข้าโครงการทั้งสองแห่งเลย และมีเพียงแค่ 26 หลังเท่านั้น กับแบบบ้านถึง 3 แบบ แบ่งเป็นบ้านแฝด 3.5 ชั้น Clinton จำนวน 2 ยูนิต พื้นทีใช้สอย 380 ตรม. และ Borough จำนวน 8 ยูนิต พื้นที่ใช้สอย 400 ตรม. โดยบ้านตัวอย่างจะเป็นแบบ 5 ชั้น Madison จำนวน 16 หลัง มอบพื้นที่ใช้สอยแบบใหญ่เบิ้ม เป็นอาณาจักรแห่งความสำเร็จได้เลยถึง 536 ตรม. หน้าบ้านกว้าง 9 เมตร จอดรถได้สูงสุด 7 คัน รองรับการต่อเติมได้รอบบ้าน เช่นเดียวกับการทุบผนังติดกันได้เลย เพราะลงเสาเข็มไว้ทั่วบริเวณ และก่อสร้างแบบ Conventional ซึ่งราคาจากป้ายโฆษณาที่ว่าเริ่ม 33 ลบ.* นี่ก็คือหลังใหญ่ Madison นี่เลยนะครับ หากใครอยากได้บ้านตัวอย่างที่มีพื้นที่สวนด้านข้างเยอะมาก กับต่อเติมเสริมแต่งอย่าง Full Option เค้าก็พร้อมขายที่ 44 ลบ.* ลองคำนวณต่อตรม.ดูก็มีราคาแค่หกหมื่นกว่าบาทเท่านั้น

จากการที่ได้ลองมาดูทั้งบ้านตัวอย่างกับบ้านจริง ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างประทับใจกับสไตล์การออกแบบ ความเนี้ยบของงานก่อสร้าง วัสดุที่ให้โดยเฉพาะพื้นกระเบื้องพอร์ซเลนแผ่นใหญ่ บานหน้าต่างของ Tostem ลิฟท์โดยสารเกรด Commercial และพื้นที่ Space ที่กว้างใหญ่มาก ใหญ่แบบไม่รู้จะใหญ่ยังไง ตั้งแต่ชั้นล่างไปจนถึงดาดฟ้า (บ้านตัวอย่างมีต่อเติมส่วนของพื้นที่จอดรถหน้าบ้าน 2 ช่องเป็นส่วน Reception Area และก็ต่อเติมส่วน Rooftop ครึ่งนึงให้เป็นห้องเอนกประสงค์ด้วย ซึ่งผมว่าตรงนี้ถ้าแต่งดีๆนี่คือ Break out Area ที่ดีมากๆสำหรับพนักงานเลยครับ อาจจะแบ่งครึ่งนึงเป็น Entertainment Zone แบบ Indoor และอีกครึ่งนึงไว้จัด Outdoor BBQ Party พร้อมฉาย Movie Night ทุกวันศุกร์ก็ได้…แค่จินตนาการถึง Space Utilization ก็เคลิ่มแล้วครับ

การวางผังที่นี่เค้าจะแบ่งออกเป็น Public & Working Area ทั้ชั้น 1 – 3 ครับ ซึ่งสามารถจัดสรรให้เป็นทั้งพื้นที่ Reception, Workshop, Showcase, Meeting Room และโซนนั่งทำงานที่จุได้สูงสุด 36 ที่นั่ง* มีไฮไลท์เป็นส่วนโถง Double Volume สูง 6 เมตรกว่า รับวิวด้านหน้าถนนสวนมากๆ และส่วนที่เป็น Private Area ก็จะเป็นชั้น 4-5 ที่ Dedicate เป็นพื้นที่พักอาศัยแบบคอนโดดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พร้อมอ่างอาบน้ำ ตรงจุดนี้ก็จะแตกต่างจากโฮมออฟฟิศทั่วๆไปที่มักจะให้แค่พื้นที่แบบโล่งๆมาให้ มีห้องน้ำเล็กๆชิดริมระเบียง โดยที่โซน Private Area ก็จะไม่ค่อยมีดีเทลในการออกแบบเพื่อการพักผ่อนมากสักเท่าไหร่ ส่วนตัวแล้วผมชอบโซนชั้น 4 – 5 มาก เพราะมันเหมือนกับเราได้อยู่ในห้อง Duplex Penthouse บนคอนโดสูงเลย ได้เปิดรับมุมมองที่สูงกว่าการอยู่บ้านแนวราบปกติ มีส่วน Living, Kitchen, Dining แบบ Open Plan พร้อมช่อง Void สูง 6 เมตรกว่า โดยที่ชั้น 5 ก็จะเป็น master bedroom ทั้ง Floor ที่มี Gimmick เป็นระเบียง Private Balcony รูปตัว L มองเห็นต้นไม้ใหญ่ ที่มีบานเลื่อนเปิด-ปิดแบบเข้ามุม

ผมว่าที่นี่เหมาะกับคนที่บริษัทฯขนาดกลางที่มีพนักงานราวๆ 20 คนขึ้นไปนะ บริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานน้อยๆคงจะไม่เหมาะ หรืออยู่เองเป็นบ้านเพียงแค่ 2-3 คนก็คงดูแปลกๆเพราะมันเป็นบ้านแนวสูง ที่มีพื้นที่เปิดโล่งเยอะแบบแยกชั้นมากจริงๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร 555 อีกทั้งห้องน้ำแบบ Fully Equipped อาบน้ำได้ก็มีแค่ 3 ห้อง ถ้าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่แบบ 6 – 7 คนก็อาจจะต้องใช้บริการลิฟท์เยอะหน่อย อ้อ ลิฟท์ที่นี่คือเกรด Commercial ดังนั้นค่า MA ต่อปีก็ค่อนข้างสูงหน่อย ประมาณปีละ 80,000 บาท ซึ่งมันก็เหมาะกับคนทำออฟฟิศเปิดกิจการ ที่เอามาหักค่าใช้จ่ายได้ มากกว่าคนซื้ออยู่เอง อีกกลุ่มที่เหมาะคือเจ้าของกิจการขนาดกลางที่มีธุรกิจที่มีลูกค้าหมุนเวียนเข้าออกทุกวันเยอะๆ ต้องการใช้ Space ที่แตกต่างกันไปในแต่ละชั้นมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Health & Wellness Center, Dental Clinic, โรงพยาบาลสัตว์ ในแบบ Total Solution พร้อม Pet Day Care, ร้านอาหาร และคาเฟ่แบบผสมผสาน ที่ผมมองว่าน่าจะ work ก็คือพวก Art Gallery ที่ผสมทั้ง Studio ถ่ายภาพ และพื้นที่แฮงค์เอาท์ คือสไตล์มันได้จริงๆอ่ะ ค่าส่วนกลางก็ถูกเพราะจะมีแค่ค่าบำรุงถนน เก็บขยะ กับ Security คือตกตรว.ละ 29 บาทเท่านั้น ประมาณหลังละ 16,0000 บาทต่อปีเอง ประหยัดกว่าการซื้อบ้านเดี่ยวบนขนาดพื้นที่ดินแบบเดียวกันไปเยอะเลย…ส่วนคนที่ซื้อมาหวังจะปล่อยเช่า จริงๆแล้วผังแต่ละชั้นที่นี่ก็สามารถทำประตูกั้นส่วนแยกการใช้งานระหว่างชั้นได้นะ ลิฟท์ก็อยู่บริเวณโถงบันไดอยู่แล้ว น่าจะซื้อมาซอยแบ่งปล่อยเช่าได้ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการประกอบกิจการที่กว้างกว่า ดึงดูดสายตามากกว่า และที่ตั้งดีกว่า บ้านกลางเมือง Classe Sukhumvit 77 ครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมไว้รอดูในบทความรีวิวนะครับ สนใจคลิก https://apth.ly/s7wa

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

#APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #APTownhome #DISTRICT #สุขุมวิท77 #DISTRICTSukhumvit77