จะวิกฤตระดับไหน ก็ทำอะไร 2 พี่ใหญ่ประจำวงการอย่างเอพี และแสนสิริไม่ได้ เพราะตัวเลขผลประกอบการ 1H2024 จากทั้ง 2 ราย ล้วนชี้ให้เห็นถึงขีดความสามารถในการสร้างรายได้ และผลกำไรท่วมฟ้า ในแบบต่อเนื่อง สวนทางผู้เล่นรายอื่นๆที่ออกมาประสานเสียงพร้อมกันแทบจะรายสัปดาห์ว่า ยอดขายฟุบ กำลังซื้อแผ่ว รายได้ไม่เข้า ลูกค้ากู้ไม่ผ่าน ช่วยลดดอกเบี้ย กับปลดล็อค LTV ให้ด่วนๆเลย…โดยฝั่งเอพี ได้เผยถึงผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 2567 (ม.ค.-มิ.ย.) ว่าบริษัทฯมีอัตราการเติบโตที่ดี รายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 21,130 ล้านบาท ในขณะที่กำไรสุทธิเท่ากับ 2,277 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 2/2567 บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบกลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 11,561 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20.8% จากไตรมาสก่อนหน้า ด้านกำไรสุทธิ 1,268 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 25.8% จากไตรมาสก่อนหน้า

โดยครึ่งปีแรกเอพีโกยรายได้จากฝั่งคอนโดพร้อมอยู่ที่มี Stock รองรับทุกเซกเมนท์ราคา ได้แก่ THE ADDRESS สยาม – ราชเทวี, ASPIRE รัชโยธิน และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม เป็นต้น ในขณะที่พอร์ตสินค้าแนวราบ โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดเอพีที่เปิดตัวใหม่ ทำยอดขายดีในทุกเซกเมนต์ โดย 3 โครงการที่ประสบความสำเร็จโกยยอดขายช่วงพรีเซลได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา, PLENO สุขสวัสดิ์ – ประชาอุทิศ 60 และ PLENO ดอนเมือง สำหรับในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 25 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 27,440 ล้านบาท โดยเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 8,190 ล้านบาท, บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 11,350 ล้านบาท, คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้านบาท และโครงการต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท ส่งผลให้ในครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทฯ จะมีโครงการพร้อมขายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากกว่า 202 โครงการ มูลค่ากว่า 151,411 ล้านบาท

ในขณะที่ทางฝั่งแสนสิริ ก็โกยรายได้ครึ่งปีแรกไปได้ร่วม 20,000 ล้านบาท คิดเป็น 47% ของเป้าทั้งปีที่ 43,000 บาท โตขึ้น 8% (เทียบ Year on Year) กำไรสุทธิอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2567 (ไตรมาส 1 กำไรสุทธิ 1,315 ล้านบาท, ไตรมาส 2 กำไรสุทธิ 1,387 ล้านบาท) อนึ่ง หากพิจารณาด้านกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก (Core Profit) พบว่าเติบโตขึ้น 5% (เทียบ Year on Year) ทั้งนี้ความสำเร็จในครึ่งปีแรก มาจากการ Sold Out รวม 19 โครงการ มูลค่ารวม 15,200 ล้านบาท อาทิ BuGaan (บูก้าน) พระราม 9-เหม่งจ๋าย, เศรษฐสิริ กรุงเทพ-ปทุมธานี, เอ็กซ์ที เอกมัย รวมถึง Business Model ใหม่ กับ Exclusive Residence ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Niche Market ด้วยโครงการขนาดเล็ก ยูนิตน้อย บน Prime Location ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย Sold Out อย่างรวดเร็ว เช่น ELSE (เอลซ์) กรุงเทพกรีฑา และ PYNN (พินน์) รวมถึงพอร์ตบ้านเดี่ยวที่เติบโตแข็งแกร่ง จากรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรีและซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ทั้งการโอนต่อเนื่องของโครงการนาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และนาราสิริ พหล – วัชรพล เช่นเดียวกับรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม อาทิ เอ็กซ์ที พญาไท และ เดอะ เบส ไฮท์ เชียงใหม่ ที่กลุ่มลูกค้าเชียงใหม่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์แสนสิริตลอดมา และในส่วนครึ่งปีหลัง แสนสิริ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ มากกว่าช่วงครึ่งปีกแรก มูลค่ารวม 38,700 ล้านบาท ไฮไลต์แนวราบ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ คือ “ณริณสิริ” (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียม (ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา และณริณสิริ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา) ราคาเริ่มต้นที่ 40-80 ล้านบาท พร้อมเปิดชมปลายปี ถัดมาคือ “เมเบิล” (Mabel) ทำเลแรกเมเบิล บางนา 26 ใกล้ทางด่วน ส่วนตัวเพียง 105 ยูนิต ราคา 6–8 ล้านบาท ทางด้านคอนโดมิเนียมเปิดตัว Affordable Condo อย่างต่อเนื่อง อย่างแบรนด์ดีคอนโด เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้แหล่งงาน มีดีมานด์ความต้องการคอนโดมิเนียมสูง และไฮไลต์สำคัญคือการเปิดตัวโครงการบนสุดยอดทำเลศักยภาพในย่าน CBD บนทำเลสุขุมวิท ได้แก่ เวีย 61 ซึ่งเป็นแบรนด์ภายใต้ Aesthetic Collection ส่วนอีกหนึ่งโครงการใหม่จากซีรีส์ One of a Kind Project โดดเด่นบนทำเลศักยภาพบนสุขุมวิท 36 และที่สำคัญ ในช่วงสิ้นปี แสนสิริเตรียมเปิดโปรเจกต์ใหญ่ ปักธงภูเก็ต ต้อนรับ High Season ในสิ้นปี ในย่านบางเทา-เชิงทะเล ส่งผลให้แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 127,000 ล้านบาท ที่จะช่วยให้การดำเนินงานทั้งในด้านยอดขายและรายได้เติบโตต่อเนื่อง และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการอสังหาฯรายกลาง – ใหญ่อีกหลายราย ที่ออกมาเผยอย่างตรงกันว่ายอดผลประกอบการครึ่งปีแรกยังคงอยู่ในทิศทางที่ดีจากรายได้รวม และ ผลกำไร ที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ไม่ว่าจะเป็น S, PROUD, CHEWA, SA, ASW และ VRANDA ในขณะที่บริษัท NOBLE ก็สามารถสร้างผลกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 2 และงวดครึ่งปีแรกได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วได้เช่นกัน