ตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ไทยเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต่างกัน
ตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ของไทยมักถูกพูดถึงว่าเป็นตลาดที่โดดเด่นกว่าตลาดอื่นสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนเช่นนี้ ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ในตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์จะมีการเติบโตที่ดีกว่าตลาดเชิงพาณิชย์อื่นๆ แต่ตลาดนี้ก็ไม่ได้มีความราบรื่นไปเสียทั้งหมด เพราะมีทั้งด้านที่มีการเติบโตและด้านที่ยังมีความท้าทาย ซึ่งสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้หากมีนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจที่เหมาะสม
นายอาดัม เบลล์ หัวหน้าแผนกพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โมเดล China Plus One ทำให้เห็นว่ามีผู้ผลิตที่ต้องการกระจายซัพพลายเชนและย้ายฐานการผลิตออกนอกจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากต้นทุนค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้น ต้องการกระจายความเสี่ยง และจากข้อพิพาททางการค้าที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันว่าไทย เวียดนาม และมาเลเซียจะเป็นประเทศหลักที่ได้รับผลประโยชน์ แต่จนถึงปัจจุบัน ตัวเลขยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของไทยยังไม่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มนี้ ในการประเมินความสำเร็จของประเทศไทยจากการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะพิจารณาจากการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมระหว่างปี 2559 – 2563 จากผู้พั ฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อย่างดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น และอมตะ คอร์ปอเรชั่น พบว่า ยอดขายที่ดินไม่ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ไทยได้รับจากโมเดล China Plus One”
เวียดนามคือประเทศที่ประสบความสำเร็จมากกว่าในการดึงดูดการลงทุน เพราะมีข้อได้เปรียบ คือ แรงงานมีจำนวนมาก อายุน้อย และอัตราค่าแรงต่ำ ซึ่งบรรดาผู้ผลิตที่ต้องอาศัยแรงงานจำนวนมากต่างให้ความสนใจเวียดนามมากกว่าไทย
“ถึงแม้ประเทศไทยอาจไม่สามารถแข่งขันเรื่องค่าแรงได้อีกต่อไป แต่ยังมีข้อได้เปรียบเวียดนามในด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดี มีนิคมอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มีกลุ่มซัพพลายเออร์และแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทางมากมาย รวมถึงการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศมากกว่า 40 ปี ซึ่งน่าจะช่วยให้ไทยได้รับประโยชน์จากโมเดล China Plus One ได้” นายอาดัมกล่าวเพิ่มเติม