เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่า นิวยอร์ก และ ลอนดอน เป็น 2 เมืองที่มีชีวิตชีวาและน่าตื่นเต้นที่สุดที่จะอาศัยอยู่ สิ่งต่อไปที่ทุกคนจะเห็นด้วยนั้นก็คือ เป็น2เมืองที่แพงที่สุดในการอยู่อาศัย

ในความเป็นจริงชาวลอนดอนและชาวนิวยอร์กมักจะแข่งขันกันอยู่เสมอว่าใคร “มีเศษไม้ที่ใหญ่ที่สุดอยู่บนไหล่” เมื่อพูดในแง่ที่เลวร้ายด้านความแพงของวิถีชีวิตและค่าครองชีพต่างๆ

เว็บไซต์หาเพื่อนร่วมห้องยอดนิยมและแอปพลิเคชั่น SpareRoom ตัดสินใจที่จะนำการอภิปรายโดยการสำรวจเพื่อนร่วมห้องกว่า 2,000 รายในนิวยอร์กและลอนดอน ผ่านการตั้งคำถามเกี่ยวกับระยะเวลาการเดินทาง, ค่าอาหาร, กิจกรรมยามเย็น, สาธารณูปโภค, ค่าเช่า, เงินเดือน และอื่นๆ

แล้วผลลัพธ์หล่ะ? พวกเขาจะเซอร์ไพรส์เรา/ไม่เซอร์ไพรส์เรา และถ้าจะให้พูดกันตามตรงคือ ไม่ได้หาคำตอบของคำถามที่มีเนื้อหารุนแรง

เริ่มจากค่าครองชีพ : ชาวนิวยอร์กมีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อห้องอยู่ที่ $ 1,212 ในขณะที่ชาวลอนดอนจ่ายแค่ $932 แต่ในขณะนี้ชาวนิวยอร์กมีเงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ $ 69,681 ในขณะที่เงินเดือนของชาวลอนดอนอยู่ที่ $ 42,837

แต่ทว่า มีการรายงานว่าชาวนิวยอร์กมากกว่า 3% มีการจ่ายค่าเช่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของเงินเดือน ในขณะที่มีชาวลอนดอนเพียง 26% ที่ทำเช่นเดียวกัน อีกอย่างชาวนิวยอร์กกว่า 49% ต้องจ่ายค่าสาธารณูปโภคสูงกว่า $ 250 ต่อเดือน เมื่อเทียบกับชาวลอนดอนที่มีเพียงแค่ 17%

เมื่อพูดถึงอาหาร, เสื้อผ้า และสิ่งของที่ไม่จำเป็นอย่าง คาปูชิโน่, ตั๋วหนังและอื่นๆ (ยกเว้น กางเกงยีนส์) จะถูกกว่าในลอนดอน

นี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมชาวนิวยอร์กถึง 34% จึงพยายามอธิบายว่ายามราตรีนั้นเหมาะที่จะเป็นเวลาของการพักผ่อนและดูทีวี แต่ทว่าชาวลอนดอนมากกว่า 1ใน4 ชอบที่จะใช้เวลากลางคืนในการเที่ยว

แล้วตอนนี้ชาวนิวยอร์กและชาวลอนดอนกำลังอาศัยอยู่กับใครกันแน่? จากการสำรวจ ชาวนิวยอร์กส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่กับเพื่อนร่วมห้องเพียงคนเดียว และมีเพียง 38% ที่ไม่เคยรู้จักเพื่อนร่วมห้องของตนมาก่อน ในขณะที่ชาวลอนดอนจะแชร์แฟลตที่พักกับเพื่อร่วมห้อง 3คนหรือมากกว่านั้น และ 59% ไม่รู้จักเพื่อนร่วมห้องของพวกเขามาก่อน

สงสัยไหมว่าชาวลอนดอนอัดกันอยู่ในอพาร์ตเม้นท์เล็กๆได้ยังไง? นั่นก็เพราะว่าชาวลอนดอนส่วนใหญ่ไม่เช่าอพาร์ทเม้นต์-ชาวเมืองลอนดอนกว่า 59% อาศัยอยู่ในบ้าน เมื่อเปรียบเทียบกับวชาวนิวยอร์กกว่า 78% ที่แชร์อพาร์ทเม้นต์กันอยู่

การอาศัยอยู่ในบ้านอาจหมายถึงการมีพื้นที่ Outdoor (70% มีพื้นที่ Outdoor เมื่อเปรียบเทียบกับนิวยอร์กเพียง 31%) แต่ก็หมายถึงระยะเวลาในการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ชาวลอนดอนกว่า 65% ใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานประมาณ 30 นาที แต่ทว่าชาวนิวยอร์กใช้เวลาเพียง 15 นาที หรือน้อยกว่านั้น

เราจะได้อะไรจากการสำรวจนี้? เมืองทั้งสองเมืองมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าหากคุณกำลังตามหาค่าเช่าและค่าครองชีพที่ถูก, พื้นที่กว้าง และพร้อมที่จะใช้เวลาในการเดินทางที่นานขึ้นหน่อย งั้นลอนดอนก็เหมาะกับคุณ

ถ้าคุณพร้อมจะจ่ายมากขึ้น แต่ยังคงมีรายได้รวมที่สูงอยู่ ไม่มีปัญหากับพื้นที่ที่แคบลง ถ้าแชร์กับคนน้อยลง และต้องการที่จะลุกจากที่นอนเพียง 30 นาที ก่อนที่จะถึงเวลาทำงาน งั้นก็ยินดีด้วย! คุณอยู่ถูกที่แล้ว นิวยอร์กคือที่ที่เหมาะสำหรับคุณ

ตรวจสอบข้อมูลกราฟฟิคสนุกๆของ SpareRoom’s และผลการวิจัยอย่างเป็นทางการของพวกเขา

อย่างไรก็ตาม…. นิวยอร์กก็ยังเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลกอยู่ดี ใช่ไหม?

งั้น  Rupert Hunt (คุณอาจจำเขาได้จาก epic quest of entrepreneurial altruism from last Fall), ผู้บริหารSpareRoom’s, ที่ได้ลงความเห็นไว้

“โชคดีมากแค่ไหนแล้วที่ได้มีส่วนร่วมในการแชร์ข้อมูลของทั้งลอนดอนและนิวยอร์ก ผมรู้อยู่แล้วว่าเมืองทั้ง 2 เมืองเป็นเมืองที่สุดยอดมาก ความเหมือนหลักของทั้ง 2 เมืองนี้ก็คือความแพง แต่จริงๆแล้วบนโลกนี้ก็มีไม่กี่เมืองที่มีความหลากหลาย, สร้างสรรค์ และตื่นเต้น แต่ก็มีความแตกต่างอยู่บ้าง

ตอนผมมานิวยอร์กครั้งแรก ผมก็ช็อกเหมือนกันเพราะทุกอย่างมันแพงกว่าลอนดอนมาก ไม่ใช่เฉพาะค่าเช่าแต่รวมทั้งสิ่งจำเป็นอื่นๆ อย่างอาหารและสาธารณูปโภค อย่างไรก็ตามเรื่องที่ดีของนิวยอร์กก็คือ คนส่วนมากจะอาศัยอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งส่วนมากจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในลอนดอน

แต่สิ่งที่ลอนดอนมีเหนือนิวยอร์กก็คือพื้นที่สีเขียวที่มีมากกว่า ชาวลอนดอนมากกว่า 2 เท่าของชาวนิวยอร์กจะมีสวนหย่อมหรือสวนหลังบ้าน เพราะโดยทั่วไปบ้านในลอนดอนจะพบได้มากกว่า อีกด้านก็คือคนส่วนมากจะต้องการอาศัยห่างออกไปและใช้เวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้น

ผมไม่มั่นใจว่าผมจะสามารถเลือกระหว่างเมือง 2 เมืองนี้ได้ ลอนดอนคือบ้าน แต่ผมก็รักนิวยอร์กและผมก็ไม่รีบที่จะย้ายในตอนนี้เหมือนกัน!”

งั้น… ตอนนี้จะพูดว่าเสมอกันก็คงได้?

ที่มา : https://spoilednyc.com/new-york-versus-london-which-city-is-better-for-renters-spareroom-survey/