อนาคตของรถยนต์ EV ในไทยและประเทศเพื่อนบ้านกับสิ่งที่คาดว่าจะส่งผลต่ออสังหา

ต่อทอง ทองหล่อ 25 May, 2019 at 13.42 pm

ประกาศที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา


ปัจจุบันนี้ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่นซึ่งเป็นแชมป์เบอร์หนึ่งและมีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในตลาดรถยนต์ประเทศไทยและประเทศที่มีพลังทางเศรษฐกิจในย่านแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้พวกเขาก็พยายามใช้วิธีการต่างๆ นานา เพื่อหวังว่าจะยังได้ครองแชมป์ในตลาดรถยนต์ EV อีกด้วย โดยเริ่มต้นวางแผนทำข้อเสนอให้ไทยเกี่ยวกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Plug-in Hybrid (PHEV) ที่มีระบบเครื่องยนต์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงผสมกับระบบแบตเตอรี่ไฟฟ้า รวมไปถึงการผลิตรถยนต์ EV ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าแบบเต็มตัวอีกด้วย

 

สำหรับประเทศไทยของเราเองไทยตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนที่เคยเป็นศูนย์กลางของการผลิตรถกระบะ ก็พยายามดึงดูดให้ Toyota และ Honda มาเลือกผลิตรถยนต์ EV ในบ้านเราเช่นกัน โดยภาครัฐของไทยหยิบยื่นสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับผู้ผลิตรถยนต์ Plug-in Hybrid และรถยนต์ EV

 

ปัจจุบันปี 2019 ในไทย Toyota จำหน่ายรถยนต์ Hybrid ที่มีแบตเตอรี่ชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จ หมดกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จไฟ เพราะปัจจุบันในไทยยังไม่ค่อยมีสถานีชาร์จไฟ ซึ่งในอนาคตรถยนต์รูปแบบ Plug-in Hybrid อาจจะเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเมื่อมีสถานีชาร์จไฟกระจายอยู่ทุกที่

ภาพจาก https://www.toyota.co.th/hybrid/hybrid.html

ในความคิดเห็นของคนในภูมิภาคนี้ รถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นเครื่องแสดงสถานะความร่ำรวยเพราะปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้ายังมีราคาสูงและกลุ่มคนที่ซื้อได้ปัจจุบันมีเพียงเฉพาะคนที่มีรายได้สูงเท่านั้น ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นเจ้าใหญ่ๆอย่าง Toyota และ Honda ก็อยากผลิตรถขึ้นมาตอบสนอง demand ในตลาดแนวนี้

 

Toyota จะเริ่มเพิ่มไลน์ผลิตรถยนต์ Plug-in Hybrid ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามด้วยรถยนต์ EV มาทีหลัง มีผู้รายงานยอดขายรถยนต์แบบ Hybrid ในปี 2018 อยู่ที่ประมาณ 13,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ โดยช่วงแรกๆ จะเริ่มทำแบตเตอรี่ที่เมืองฉะเชิงเทรา ส่วนชิ้นส่วนอื่นๆ จะนำเข้ามาไปก่อน หลังจากนั้นจะค่อยๆ ขยับมาผลิตชิ้นส่วนในไทย

 

มาดูค่ายอื่นๆ กันบ้างว่าทำอะไร Nissan วางแผนที่จะเริ่มผลิตแบตเตอรี่ในประเทศไทย ส่วนค่าย Mitsubishi เริ่มประกอบรถยนต์ Plug-in Hybrid แล้วและมีเป้าหมายขยายสู่ตลาดรถยนต์ EV เต็มตัวเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ส่วนค่าย Mazda ผู้บริหารบอกว่าจะเริ่มผลิตรถยนต์ Hybrid ในสิ้นปี 2019 นี้

 

ทางรัฐของไทยอยากเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของโลกอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วในตลาดรถกระบะซึ่งต้องยกความดีงามให้กับภาษีสรรพสามิตที่มีคุณูปการอย่างมาก โดยรัฐบาลไทยได้ประกาศแผนกลยุทธ์ส่งเสริมการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยไอเสียต่ำมาตั้งแต่ปี 2007 และตอนนี้ก็กำลังจีบผู้ผลิตรถยนต์ Hybrid และรถยนต์ EV ให้เข้ามาผลิตที่ไทยโดยมอบแพ็คเกจจูงใจต่างๆ เช่น การยกเว้นภาษีนิติบุคคล ยกเว้นภาษีนำเข้าสำหรับเครื่องจักรในการผลิตต่างๆ เป็นต้น

 

ถ้ารัฐบาลไทยสามารถดึงดูดและทำได้สำเร็จก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยและจะทำให้มีเงินรายได้หมุนเวียนอยู่ในประเทศมากขึ้น ช่วยให้คนไทยที่ทำงานในบริษัทรถยนต์เหล่านี้มีรายได้และมีกำลังซื้อมากขึ้นและอาจส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ซื้อง่ายขายคล่องได้ดีขึ้น เป็นผลดีทางอ้อมที่วงการอสังหาจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

 

ขณะนี้แผนงานต่างๆ จากบริษัทผลิตรถยนต์ยังไม่มีข้อผูกมัดใดๆ แต่จะมีเวลาประมาณ 3ปีในการคิดว่าจะทำ model แบบไหนในไทย แล้วแต่ว่า demand รถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้จะเป็นอย่างไร หน้าตาของ supply chain จะเป็นอย่างไร สถานีชาร์จไฟฟ้ารถจะเป็นยังไงมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน ผู้ผลิตรถค่ายต่างๆ ยังมีเวลาให้คิดอีกและอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมายจากวันนี้ก็เป็นได้

 

ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงและถูก disrupt ของธุรกิจพลังงาน ปั๊มน้ำมันอาจลดความสำคัญลงและเปลี่ยน business model ไปเป็นขายอย่างอื่น หรือในวงการอสังหาเช่นอาคารสำนักงาน ธุรกิจห้างที่มีลานจอดรถอาจติดตั้งสถานีชาร์จไฟภายในห้างเพื่อตอบสนอง demand ให้ผู้ใช้รถ EV ขับเข้ามาจอดที่ห้างชาร์จไฟแล้วเดินเล่นในห้างรอชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนคอนโดมิเนียมก็อาจจะต้องติดตั้ง EV Charger ในโครงการให้เป็นของพื้นฐานประจำทุกที่ ส่วนคอนโดมิเนียมเก่าๆ ก็อาจจะต้องจ้างบริษัทติดตั้ง EV Charger เพิ่มเติมเพื่อบริหารให้ลูกบ้าน

ภาพจาก https://edition.cnn.com/2012/10/24/us/public-car-chargers/index.html

 

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นถือว่ายังเป็นตลาดใหม่ แม้ในไทยที่มีตลาดรถยนต์ที่โตมากๆ ก็ยังมีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าเพียงแค่ 2% เท่านั้น แต่ว่าเริ่มเห็นสัญญาณว่ามี demand รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการวิจัยโดย Frost & Sullivan โดย Nissan เมื่อปี 2018 พบว่ามีลูกค้ากว่า 37% บอกว่าถ้าเขาจะซื้อรถใหม่เขาจะไปดูรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน

 

นอกจากนี้กระแสการรักษาสิ่งแวดล้อมและการลดพิษในเมืองก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาใน Social Network จากกรณีฝุ่นพิษ PM2.5 ตลบทั้งเมืองกรุงเทพและเชียงใหม่ ทำให้ประชาชนไทยเริ่มตื่นตัวในด้านสิ่งแวดล้อมและช่วยกันคนละนิดคนละหน่อยเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น เลือกอยู่ที่อยู่อาศัยในเขตเมืองและใกล้กับระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดภาระทางการเงินที่ต้องผ่อนรถและช่วยลดการสร้าง carbon footprint ได้ไปในตัว สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ก็มองหารถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสีย ปัจจุบันมีคนอยากขับรถยนต์ไฟฟ้า แต่ยังติดปัญหาอยู่ที่ราคาของรถยนต์ไฟฟ้ายังสูงจนยากที่จะเอื้อมถึงสำหรับคนทั่วไป

 

ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตรถสัญชาติญี่ปุ่นที่จะมาแย่งชิงตลาดรถยนต์ EV นี้เท่านั้นเพราะยังมีกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ของเวียดนามอย่าง VinGroup ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าด้วยการสนับสนุนจากบริษัทรถยนต์สัญชาติยุโรปรวมตัวกันกว่า 20 บริษัท หนึ่งในนั้นก็มี BMW ด้วย สำหรับค่ายรถเยอรมันอย่าง BMW ก็ร่วมกับ Mercedes-Benz ผลิตรถยนต์ Plug-in Hybrid มาตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งมียอดขายเกือบ 10,000 คันต่อปี นอกจากนี้ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายเมืองจีนก็จะยกทัพเอารถยนต์ EV มาตีตลาดใหม่ในแถบประเทศกลุ่มอาเซียนอีกด้วย สงครามยังไม่เริ่มก็มีหลายทัพยาตราเข้ามา แม้บริษัทเครื่องดูดฝุ่นสุดล้ำอย่าง Dyson ก็เข้ามาเล่นในตลาดรถยนต์ EV อีกด้วยโดยเริ่มย้ายสำนักงานใหญ่ข้ามจากอังกฤษมาปักลงที่สิงคโปร์เพื่อทำธุรกิจรถยนต์ EV ในภูมิภาคนี้อีก

 

นอกจากการผลิตรถยนต์ EV แล้วยังมีเรื่องของการบริการใหม่ๆ เช่น app เรียกรถที่จะทำให้ตลาดรถยนต์ใหญ่ขึ้น Toyota ได้ตัดสินใจลงทุนใน GRAB ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ app เรียกรถที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในการปูทางเพื่อรุกเข้าสู่สนามรบแห่งรถยนต์ EV อีกทาง ในอนาคตเราอาจจะเห็นบริการรถยนต์ EV ที่จะทำให้ลูกค้าที่พักอาศัยอยู่ในทำเลต่างๆ สามารถเดินทางได้สะดวกสบายมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องซื้อรถยนต์เป็นของตัวเอง อีกเหตุผลที่ทาง Toyota ตัดสินใจลงทุนกับ GRAB เพราะอยากรู้ Big Data เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างไรเพื่อนำมาไปต่อยอดในธุรกิจของตัวเองมากขึ้น แต่ Toyota ก็ไม่ใช่ค่ายเดียวที่ร่วมลงทุนกับบริการเรียกรถแบบนี้เพราะ เพราะทาง Honda ก็ร่วมกับ Softbank และ Didi Chuxing ซึ่งเป็น app เรียกแท็กซี่รายใหญ่ของจีนก็ได้ร่วมลงทุนกันไปแล้วและเริ่มให้บริการเรียกรถแท็กซี่ในญี่ปุ่นโดยเริ่มปักหมุดเมื่อกันยายน 2018 ที่เมืองโอซาก้าก่อนเพราะเป็นเมืองที่คนจีนนิยมไปเที่ยว ปัจจุบันก็ขยายไปอีก 13 เมืองทั่วญี่ปุ่น

ภาพจาก Didi Chuxing

 

เรื่องราวบนสนามสงครามรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่จบแค่นี้เพราะนี่คือเพิ่งก่อนจะเริ่มเท่านั้น และตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะมีผลต่อภาพของอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่อย่างไรต่อไป ลองมาร่วมกันแสดงความคิดเห็นครับ

 

ที่มา :

https://asia.nikkei.com/Business/Business-trends/Japan-carmakers-angle-for-

EV-primacy-in-Southeast-Asia

https://brandinside.asia/toyota-and-grab-maas/

https://www.blognone.com/node/99717

https://www.reuters.com/article/us-didi-softbank/didi-softbank-taxi-hailing-jv-expands-to-13-cities-across-japan-idUSKCN1S00AK

ต่อทอง ทองหล่อ

ต่อทอง ทองหล่อ

บรรณาธิการสื่อเกี่ยวกับการศึกษา และ Blogger ผู้มีผลงานการวิเคราะห์ด้านอสังหาฯ มามากกว่าร้อยบทความ ยังเป็นผู้สนใจลงทุนคอนโดมิเนียม ชอบใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad รักการเดินเท้าและเลือกใช้ขนส่งมวลชนสำรวจความเปลี่ยนแปลงของทำเลสถานที่ผ่านมุมมองการเข้าใจมนุษย์ นอกจากนี้ยังเป็น Active Citizen ช่วยขับเคลื่อนพัฒนาเมืองผ่านงานเขียนและเครื่องมือสื่อสารที่เชื่อมรัฐกับประชาชน เป้าหมายระยะยาวต้องการเห็นคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นของทุกคนในสังคม ติดตามผลงานได้ที่ https://matttortong.weebly.com

เว็บไซต์

ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร

โซลเลซ พหลฯ-ประดิพัทธ์

นิว เวิร์ส กรุงเทพกรีฑา

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าย่านกรุงเทพกรีฑาตัดใหม...

28 February, 2024

นิว ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น

ซึ่งวันนี้เราจะพาคุณผู้อ่านมาพบกับโครงการคอนโดพร้อมอ...

30 January, 2024

ริธึ่ม เจริญนคร ไอคอนิค

วันนี้จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับคอนโดมิเนียมสุดฮอตชื่อโ...

29 January, 2024

วิสซ์ดอม คราฟท์ สามย่าน

Whizdom Craftz Samyan คือโครงการที่มอบ 5 องค์ประกอบพ...

4 December, 2023

สอบถามโครงการ

ได้รับข้อมูลเรียบร้อยแล้ว
ขอบคุณอย่างยิ่งที่สนใจครับ
จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไปนะครับ

ขออภัย
ไม่สามารถส่งข้อมูลได้
กรุณาลองใหม่อีกครั้ง