UNIO Sukhumvit 72 คอนโด Super Economy ที่ให้คุณครบกับการใช้ชีวิต ด้วยความคุ้มค่าที่มากกว่า

ถ้าพูดถึงย่านสุขุมวิทปัจจุบัน เราคงจะไม่ได้แบ่งเป็นสุขุมวิทต้น-กลาง -ปลายแค่ 3 ช่วงหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เพราะการมาของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายในอนาคตอันใกล้ ทำให้ต้้องเรียกกันใหม่เป็นสุขุมวิทโซน A B C และ D ขอแบ่งตามสถานีรถไฟฟ้าดังนี้ครับ

สุขุมวิทโซน A (Sukhumvit A) ชิดลม เพลินจิต นานา อโศก

เป็นสุขุมวิทที่หนาแน่นมากที่สุดและเต็มไปด้วยความเจริญขั้นขีดสุด มีห้างสรรพสินค้าระดับ Luxury โรงแรมหรูหรา สำนักงานระดับ A สมกับชื่อย่านสุขุมวิท A ซึ่งเป็นย่านที่น่าทำงานมากที่สุด

ภาพจาก www.centralembassy.com

Central Embassy แลนด์มาร์คของเพลินจิต

สุขุมวิทโซน B (Sukhumvit B) พร้อมพงศ์ ทองหล่อ เอกมัย พระโขนง

ด้วยความหลากหลายของร้านอาหารแบบ multi-national แหล่งชอปปิงหลายรสนิยม หลายระดับราคา และเป็นย่านที่อยู่อาศัยที่ยังพอหาความสงบเงียบได้ จึงทำให้สุขุมวิท B เป็นสุขุมวิทที่น่าอยู่มากที่สุดในตอนนี้ แต่ราคาของอสังหาฯ ย่านนี้ไปไกลแล้ว เฉลี่ยตกตารางเมตรละ 100,000 บาทขึ้นไป หรือมากกว่านั้น ทำให้ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ที่ยังอยู่ช่วงก่อร่างสร้างตัวจึงต้องขยับขยายย้ายออกมาอยู่ที่สุขุมวิทโซนถัดไปแทน

ภาพจาก http://www.emquartier.co.th

The Em District ศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์ของสุขุมวิทโซน B

สุขุมวิทโซน C (Sukhumvit C) อ่อนนุช บางจาก ปุณณวิถี อุดมสุข บางนา แบริ่ง ย่านนี้เรียกได้ว่าเป็นสุขุมวิทใหม่ มีความเจริญไหลตามออกมาด้วยอานิสงส์ของรถไฟฟ้านั่นเอง สุขุมวิท C เป็นย่านที่่เหมาะกับการมาจับจองทำเลดีในอนาคตเหมือนที่สุขุมวิท B เคยเป็นมา อนาคตของย่านสุขุมวิท C จะดีมากเพราะมีแผนการพัฒนาโครงการต่างๆ เช่น The Phyll ที่อ่อนนุช (สร้างเสร็จแล้ว) โรงหนัง Century ที่อ่อนนุช, ตึกออฟฟิศ M Tower ที่บางจาก, โครงการแบบ Mixed-use ชื่อ Whizdom 101 ที่ปุณณวิถี (ปิยรมณ์เก่า)

ภาพที่ดินก่อสร้างโครงการ Century Movie Plaza Onnut

The Phyll ช้อปปิงมอลล์และศูนย์อาหารแห่งใหม่ของชาวอ่อนนุช

ภาพจาก www.thephyll.com

อาคารสำนักงาน M Tower ใกล้สถานีบางจาก

ภาพจาก CBRE

ภาพอนาคตที่เปลี่ยนโฉมของปุณณวิถี

Community Mall ชื่อ One Udomsuk ติดรถไฟฟ้าอุดมสุข แหล่งฝากท้องและจับจ่ายสิ่งของแห่งใหม่ของคนอุดมสุข

ภาพจาก facebook.com/oneudomsuk

The Coast Village ตรงแยกบางนา มีซูเปอร์มาเก็ต คาเฟ่ ที่เรียนพิเศษ ร้านอาหาร ร้านตัดผม

ส่วนไฮไลท์คือแยกบางนาจะมี Bangkok Mall, โรงแรม Chatrium, สำนักงาน และจะมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า Monorail มุ่งหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ

ภาพอนาคตของสุขุมวิทโซน C ที่แยกบางนา

อาคารสำนักงานภิรัชทาวเวอร์ แอท BITEC กำลังก่อสร้าง

ย่านสุขุมวิท C กำลังจะเปลี่ยนแปลงเป็น Hub เชื่อมต่อ เพราะมีโครงการของกรุงเทพมหานครกำลังก่อสร้าง Sky Walk ระหว่างสถานีอุดมสุขและบางนา ผ่านหน้าโครงการต่างๆ เช่น โครงการปัจจุบัน The Coast, BITEC และโครงการในอนาคตอย่าง Bangkok Mall, สถานีขนส่งตะวันออกใหม่ และ Monorail ไปสุวรรณภูมิ เห็นการพัฒนาจริงแบบนี้ก็ทำให้เราเริ่มจินตนาการสุขุมวิท C ในอนาคตพอได้แล้ว

นอกจากนี้ที่ปลายทางของสถานีรถไฟฟ้าปัจจุบัน (2559) คือสถานีแบริ่งนั้นมีที่ดินผืนใหญ่ติดรถไฟฟ้ารอบด้านซึ่งเป็นของทุนท้องถิ่นและทุนมหาชนกำลังรอการพัฒนาในอนาคต

เหตุผลเหล่านี้ทำให้ย่าน Sukhumvit C (อ่อนนุช-แบริ่ง) มีศักยภาพเติบโตได้อีกมากและจะกลายมาเป็นศูนย์กลางที่จะดึงผู้คนจากสุขุมวิทโซน D โซนบางนาตราดและโซนกรุงเทพตะวันออกให้เข้ามาที่โซน C ได้อีกด้วย

สุขุมวิทโซน D (Sukhumvit D) สถานีสำโรง ปู่เจ้าสมิงพราย เอราวัณ โรงเรียนนายเรือ สมุทรปราการ ศรีนครินทร์ แพรกษา สายลวด ไปจบที่สถานีเคหะสมุทรปราการ ในอนาคตอันใกล้ เรากำลังจะมีสถานีรถไฟฟ้าใหม่ ซึ่งจะทำให้เกิดย่านสุขุมวิทใหม่อีก 1 โซนนั่นคือโซน D เอกลักษณ์ของย่านนี้จะ เป็นแหล่งงานอุตสาหกรรมและมีคนนอกถิ่นย้ายเข้ามาอยู่อาศัยอยู่จำนวนมาก และยังมีที่ดินเปล่าให้พัฒนาอีกเยอะ

สถานีที่น่าจับตาของโซน D ได้แก่ สำโรง ศรีนครินทร์ และแพรกษาเพราะเป็นจุด interchange จากระบบรถเข้าสู่ระบบราง แถม 3 สถานีดังกล่าวก็มีย่านการค้ารองรับอยู่แล้ว เช่น สถานีสำโรงมีอิมพีเรียล และบิ๊กซี สถานีศรีนครินทร์มีตลาด I-mall สถานีแพรกษามีโรบินสัน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องรอเวลาที่เหมาะสมและรอให้การพัฒนาในเขตสุขุมวิทโซน C เริ่มเต็มเสียก่อน ความเจริญจึงจะค่อยๆ ไหลออกมาตามเส้นทางรถไฟฟ้าจนมาถึงโซน D  ซึ่งอาจใช้เวลาเกินกว่า 5 ปี

การพัฒนาของสุขุมวิทใหม่ที่โซน C และ D เป็นเรื่องราวต้องสนใจสำหรับคนที่ต้องการซื้อที่ดินบ้านคอนโดทั้งอยู่อาศัยเองและเพื่อการลงทุน เพราะใครๆ ก็อยากถือครองทรัพย์สินที่มีอนาคตดีใช่ไหมละครับ

และจากเหตุผลหลายประการที่ยกมานำเสนอ สำหรับช่วงนี้ก็ขอแนะนำว่าสุขุมวิทโซน C (อ่อนนุช-แบริ่ง) คือสุขุมวิทใหม่ที่ดูดีมีศักยภาพมากที่สุดและเป็นจังหวะที่ดีที่จะเข้ามาลงทุนและย้ายมาอยู่ทำเลนี้ครับ เพราะราคายังไม่สูงนัก หลายคนมีกำลังทรัพย์ซื้อได้จริง และมี facility สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่พร้อมใช้งานจริง เช่น ห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า
โครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ในย่านสุขุมวิทโซน C นี้มีหลายโครงการให้เลือกหลายระดับทั้งหรูหราติดรถไฟฟ้าตารางเมตรละเป็น 110,000 บาทขึ้นไป ลงมาถึงคอนโดมิเนียมเก่า 20 ปี ตารางเมตรละ 25,000 บาทก็มี แต่ภาพรวมของคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิท C ปัจจุบันจะเป็นโครงการระดับ Economy class – Main class ตกตารางเมตรละไม่เกิน 85,000 บาทครับ ซึ่งราคาที่ไม่แพงเกินไปนั้นส่งผลดีทำให้จำนวนประชากรแถบนี้มีจำนวนหนาแน่น เป็นปัจจัยบวกสำหรับการพัฒนาโครงการพาณิชยกรรมในอนาคต เช่น มีห้าง มีออฟฟิศ มีแหล่งช้อปปิงอำนวยความสะดวกมากขึ้น ก็จะทำให้ย่านดูน่าอยู่มากขึ้นไปอีก

ภาพแสดงราคาต่อตารางเมตรของคอนโดมิเนียมแถวสถานีแบริ่ง ซึ่งเป็นตอนปลายของสุขุมวิทโซน C

สถานีแบริ่งเป็นย่านที่มีผู้คนย้ายมาอยู่อาศัยมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็น Residential Area สำหรับคนทำงานรุ่นใหม่อย่างเห็นได้ชัดจากที่โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ๆเปิดตัวและขายได้หมดไปหลายโครงการ ตั้งแต่สถานีแบริ่งเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ พ.ศ. 2554 จนถึงวันนี้เวลาผ่านไป 5 ปีแล้ว รายได้ของคนที่อยู่ย่านนี้เริ่มมีมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ landscape ของแบริ่งให้ค่อยๆ เปลี่ยนไป ปัจจุบันเริ่มมีร้านอาหารติดแอร์ ร้านอาหารญี่ปุ่น คาเฟ่แบรนด์ดัง มีการปรับปรุงตึกแถวเก่าที่เคยเป็นกิจการท้องถิ่นมาเป็นร้านที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่แถวนี้มากขึ้น

จุดเด่นที่คนรุ่นใหม่และรวมถึงชาวต่างชาติเลือกมาอยู่อาศัยแถวแบริ่งเป็นเพราะราคาคอนโดมิเนียมไม่สูงมาก และเป็นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้า หลายโครงการสามารถเดินเท้าถึงในระยะ 10 นาทีสบายๆ บางโครงการก็ใช้รถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รถสองแถวเดินทางเชื่อมสู่รถไฟฟ้าได้ไม่ลำบาก คนที่อยู่แถวแบริ่งหลายคนทำงานที่พร้อมพงศ์ อโศก เพราะนั่งรถไฟฟ้าแค่ประมาณ 20 นาทีก็ถึงที่ทำงานแล้ว

แบริ่งเป็นหนึ่งในสุขุมวิทใหม่โซน C ที่น่าลงหลักปักฐานมาอยู่ เพราะถนนสุขุมวิทฝั่งเลขคี่อย่าง สุขุมวิท 105 (ลาซาล) ถนนสุขุมวิท 107 (แบริ่ง) และถนนเทพารักษ์ นั้นสามารถเชื่อมตรงเข้าสู่ถนนศรีนครินทร์ได้ ส่วนฝั่งเลขคู่อย่างสุขุมวิท 70/1 ก็สามารถเชื่อมสู่ถนนทางรถไฟสายเก่า ซึ่งเป็นเส้นทางของคนในถิ่นใช้เดินทางเข้าเมืองซึ่งวิ่งยิงตรงเข้าสู่ถนนพระราม 4 กล้วยน้ำไท พระโขนง เอกมัย ออฟฟิศมาลีนนท์ได้ง่ายๆ เป็นทางเลือกเลี่ยงรถติดในถนนสุขุมวิทหลักได้สบาย และถนนทางรถไฟสายเก่าก็เชื่อมต่อกับถนนสรรพาวุธเพื่อขึ้นทางด่วนได้อีก หรือถ้าจะไปบางนาตราดก็ง่าย แค่วิ่งผ่านสถานีบางนาแล้วเลี้ยวขวาที่แยกบางนาก็มุ่งหน้าไปชลบุรี พัทยา ถือว่าเป็นย่านที่เหมาะกับคนที่ต้องไปๆ มาๆ ระหว่างกรุงเทพกับจังหวัดในภาคตะวันออกครับ

คอนโดมิเนียมแถวแบริ่งมีหลายโครงการ ทั้งฝั่งสุขุมวิทเลขคี่ที่มีจุดเด่นด้านความสะดวกสบาย เช่น ตระกูล The Excel , Villa Lasalle, Supalai City Resort Bearing, iCondo, LPN, The Gallery, Kensington, The Knight, Pause, G Haus, The Nine Bearing เป็นต้น

และโครงการฝั่งสุขุมวิทเลขคู่ที่มีจุดเด่นด้านความเงียบสงบส่วนตัว เช่น Very Condo I-II , Cattleya Condo, LPN และโครงการใหม่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวอย่าง UNIO Sukhumvit 72 (ยูนิโอ สุขุมวิท 72) ที่เราจะพามาแวะดูกันครับ

ซอยสุขุมวิท 72 คือซอยที่ใกล้สถานีแบริ่งแบบที่เดินไปถึงง่ายๆ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยนักเพราะซอยนี้เป็นซอยตัน ไม่ใช่ทางผ่าน ทำให้อาจจะไม่เด่นดังเท่าไหร่ แต่มีข้อดีสำหรับการอยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนได้จริงเพราะเป็นซอยที่เงียบสงบสูงมาก ถึงขนาดมีคนที่อยู่ในคอนโดมิเนียมในซอยนี้เอ่ยปากบอกว่า ชอบซอยนี้เพราะทำให้เขาหลับได้ลึกสนิทไม่ตื่นกลางดึกเลย (เสียงจากลูกบ้านใน Very Condo ที่อยู่ในซอยสุขุมวิท 72)

สภาพรอบๆ ซอยสุขุมวิท 72  ปัจจุบันยังเป็นบรรยากาศแบบสไตล์สมุทรปราการ ยังไม่มีโครงการ Modern Commercial มากนัก ส่วนใหญ่เป็นตลาดบนฟุตบาท ตึกแถวค้าขาย มีร้านสะดวกซื้อ

Food truck แบบดั้งเดิมบนฟุตบาทยามเย็นและร้านสะดวกซื้อที่ปากซอยสุขุมวิท 105 ซึ่งเป็นซอยเยื้องกับสุขุมวิท 72

ร้านขายวัสดุก่อสร้างที่อยู่ปากซอยสุขุมวิท 72 มีแสงสว่างยามค่ำคืน

สภาพจริงของซอยสุขุมวิท 72 เป็นซอยที่ไม่มีฟุตบาทนะครับ แต่ตอนกลางคืนเป็นซอยที่ติดไฟส่องสว่างมากครับ ทำให้เดินแล้วไม่เปลี่ยว

ในซอยสุขุมวิท 72 มีโรงงานอยู่ 1 แห่ง มีรปภ.ดูแลด้านหน้าโรงงานตลอดเวลา

ในซอย 72 มีคอนโดมิเนียม 3 โครงการ และมีอพาร์ทเมนต์ 1 โครงการ ภาพนี้คือ Very Condo I และข้างๆกันเป็น Very Condo II กำลังก่อสร้าง

คอนโดมิเนียมแห่งแรกของซอย 72 นี้คือ Cattleya Condo

ซอยนี้มีวินมอเตอร์ไซค์ด้วย

ใกล้ๆ กับวิน มีที่ดินผืนใหญ่เป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการ Unio Sukhumvit 72 ลักษณะที่ดินคล้ายตัว L กลับด้าน

พิกัด GPS: 13.658349,100.597852
Google Map: https://goo.gl/maps/6Wiq7eN2AiP2

แสดงการวางตัวของอาคาร (รูปคร่าวๆ ใช้อ้างอิงเป็นทางการไม่ได้)

ที่ดินแปลงใหญ่ โครงการ Unio Sukhumvit 72 จึงแบ่งโครงการออกเป็น 2 เฟส เฟสที่ 1 ตึกเรียงตัวกันคล้ายตัว U ผสมกับตัว O ส่วนเฟสที่ 2 คือพื้นที่สีเทาๆ ตามโมเดล

โมเดลแสดงให้เห็นว่าทำเลโครงการนี้ใกล้รถไฟฟ้าสถานีแบริ่ง 700 เมตร เดินถึงได้ในเวลา 10 นาที และมีซอยที่โครงการเข้าได้ 2 ซอยได้แก่ ทางเข้าออกหลักที่ซอยสุขุมวิท 72 และทางเข้าออกรองในซอยสุขุมวิท 70/1 (จากรูปคือซอยที่มีโค้งหักศอกไปมา)

หลังจากพาไปดูที่ดินที่จะก่อสร้างจริงแล้ว ขอพาออกมาดูสำนักงานขายโครงการ Unio Sukhumvit 72 บนถนนสุขุมวิทเส้นหลัก ใกล้แยกบางนา ติดกับโครงการ Ideo Mobi Sukhumvit East Gate เพื่อมาหาข้อมูลเพิ่มเติมกันครับ

ที่ตั้งสำนักงานขาย Unio Sukhumvit 72

พิกัด GPS 13.665170,100.603658

Google Map: https://goo.gl/maps/aXnLSCYqkSw

ภาพรวมของโครงการ Unio Sukhumvit 72 เป็นแบบนี้ ภาพวางตามทิศ ด้านบนคือทิศเหนือ ด้านล่างคือทิศใต้ ทางเข้าหลักอยู่ด้านซ้ายของตึก A เดินเข้าไปจะผ่านสวนสระบัว (Lotus Pond) เป็นสระที่ว่ายน้ำไม่ได้นะครับเพราะมีแต่บัว เดินตามทางลัดเลาะผ่านตึก B หลังจากนั้นเดินเข้าไปโซนสวน ตรงกลางเป็น Common Room, Gym และสระว่ายน้ำ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางนี้โอบล้อมด้วยตึก C, D และ E

ยูนิตรูปแบบหลักคือ Studio 22 ตร.ม. ซึ่งส่วนใหญ่ได้วิวนอกอาคาร ส่วนวิวด้านในสระสวนต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็น Studio 27 ตร.ม. และ Duplex ครับ นอกจากนี้มียูนิต 1 Bedroom และ 2 Bedroom ตามมุมอาคารต่างๆ กระจายกันไปแต่ละตึก เดี๋ยวจะมาเจาะลึกเรื่องยูนิตแต่ละแบบกันอีกทีครับ

ทุกอาคารจะมี Lobby ,Car Parking และ Laundry Room ให้บริการทุกตึกจึงทำให้ช่วยลดปัญหา Overload ของเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ไม่ต้องรอนานหรือแย่งกันใช้ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์

ทางเข้าของโครงการ จะเป็นถนนย่อยของโครงการเอง สีขาวๆที่เห็นซ้ายคือป้อมรปภ. บริเวณนั้นคือทางเข้ารถยนต์และทางคนเดิน

อาคารแรกนี้คืออาคาร A ชั้นล่างสุดจะเป็น shop มีร้านสะดวกซื้อ และสำนักงานนิติบุคคล

จุดเด่นของโครงการ Unio Sukhumvit 72 อยู่ที่พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่และดูดีเกินราคา ภาพนี้คือสระว่ายน้ำแบบ Freeform รูปร่างอิสระ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งกระด้าง มี 2 สระ สำหรับผู้ใหญ่ลึก 1.20 เมตร สระเด็กลึก 0.65 เมตร เป็นสระระบบเกลือ มีต้นไม้ใหญ่ปลูกรอบๆ สระ เข้ากับคอนเซปต์โครงการที่ใช้คำว่า Green Breeze ลมหายใจแห่งสีเขียว อาคารสีขาวๆ ตรงกลางคือ Pavilion ที่มี Common Room และ Gym นอกจากนี้มีจุดสังเกตในภาพ จะเห็นว่ามีตึกหนึ่งที่ชิดสระว่ายน้ำเลยนั่นคือตึก D ส่วนตึกตรงข้ามกันคือตึก C จะติดแค่สวน

แนวคิดทางสถาปัตยกรรมที่นำมาเป็นแกนหลักในการออกแบบคือ การนำ Organic Form รูปร่างที่ดูเป็นธรรมชาติ เช่น Facadeลักษณะภายนอกของอาคารจะลดทอนมาจากแรงบันดาลใจคือ “เปลือกไม้” ซึ่งมีสีสันไม่เท่ากันเพราะเปลือกไม้มีมิติความลึกความนูนความกว้างยาวไม่เท่ากัน นอกจากนี้พื้นที่ส่วนกลางทั้งหมดล้วนเป็นรูปร่าง Organic Form เหมือนกัน เช่น สระว่ายน้ำทำเลียนแบบบ่อน้ำตามธรรมชาติ ทางเดินจำลองจากเส้นสายการคดโค้งของแม่น้ำลำธาร ทั้งนี้ยังออกแบบให้สีของอาคารเป็นโทนขาวสีอ่อนๆ เพื่อช่วยดึงความโดดเด่นของพื้นที่ส่วนกลางให้ทุกคนเชื่อมต่อกับธรรมชาติได้ทุกขณะเวลาที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้

Common Room ติดแอร์หรือจะเปิดหน้าต่างให้เป็น Open air มีลมพัดเข้ามาก็ได้ เลือกใช้เองตามสภาพอากาศ เป็นสถานที่ที่โครงการออกแบบให้เป็น The second place ให้ลูกบ้านลงมาใช้ในเวลาที่เบื่อๆ ไม่อยากอยู่ในห้องของตัวเอง สำหรับนั่งอ่านหนังสือ ทำงาน เล่นอินเทอร์เน็ต ฟังเพลงสวมหูฟังชิลล์ๆ เล่นหมากกระดาน ทำกิจกรรมต่างๆ

ติดกับ Common Room เป็น Indoor Gym ที่มีอุปกรณ์ครบทั้ง Exercise Bike, Treadmill, Cross-trainer, Weight Training แต่จำนวนอุปกรณ์อาจจะไม่เพียงพอในช่วงเย็นๆ หลังเลิกงานเพราะคนจะมาใช้เยอะ

แต่ก็ยังมีทางเลือกอื่นอย่างทางวิ่ง Jogging Track ด้านนอกรอบโครงการให้วิ่งออกกำลังแทน Indoor Gym ถ้าวัด Track มีระยะทางรวมครบ 1 Loop ประมาณ 500 เมตรซึ่งเพียงพอและง่ายต่อการนับรอบกิโลเมตร

เราสามารถเดินขึ้นบันไดวนไปด้านบน Pavilion สีขาว จะพบกับ Outdoor Terrace ที่นั่งพักผ่อนสไตล์ตากอากาศ ให้อารมณ์เหมือนอยู่ในรีสอร์ทกลางเมือง

จากภาพจะเห็นลักษณะของหลังคาที่ไม่ใช่เปิดโล่งเป็นดาดฟ้าเปล่าๆ แต่ผู้ออกแบบโครงการได้มุงหลังคาทุกตึกด้วยหลังคา Metal Sheet เพื่อป้องกันปัญหาคลาสสิกของเมืองไทยคือน้ำรั่วลงฝ้าห้องชั้นบนสุด และระหว่างหลังคากับพื้นดาดฟ้าจะมีฉนวนกันความร้อนและกันเสียงหนา 2 นิ้ว นอกจากนี้สำหรับผู้เลือกชั้น 8 ชั้นบนสุดจะได้รับฝ้ากันชื้นด้วย ฟังก์ชั่นเหล่านี้ช่วยกลบปัญหาที่หลายคนบ่นว่าห้องชั้นบนร้อนและน้ำรั่วออกไปได้หมด

และด้านบนดาดฟ้าของทุกตึกจะมีห้องเก็บถังน้ำเพราะระบบน้ำของที่โครงการนี้จะใช้ระบบ Down Feed คือจะมีถังน้ำใหญ่ชั้นดาดฟ้า ทำให้มีน้ำสำรองตลอดเวลา ลดอาการน้ำไหลอ่อน

ย้อนกลับไปดูบริเวณหน้าตึก A, B มีสระบัว (Lotus Pond) ออกแบบ landscape ให้รู้สึกถึงความสงบนิ่ง มีสมาธิ ผ่อนคลาย หลีกหนีความวุ่นวาย

นอกจากนี้ก็มีอุปกรณ์ outdoor gym ประมาณ 4-5 ตัว สำหรับคนที่อยากออกกำลังกายสูดอากาศภายนอกแทนห้องแอร์

ลักษณะการตกแต่ง Lobby ภายในแต่ละอาคาร ตกแต่งเรียบง่าย ใช้ได้จริง มีเก้าอี้สีโทนเขียวอมฟ้า ยังคงเล่นตามคอนเซปต์ Green Breeze อยู่ครับ

หลังจากชื่นชมกับพื้นที่ส่วนกลางมาแล้วเรียบร้อย ลองมาดูกันอีกทีว่ายูนิตแต่ละแบบเป็นยังไง

ทุกยูนิตจะได้รับการตกแต่งแบบ Fully-Fitted คือ จัดพื้นลามิเนต ทาสีผนัง ทำฝ้า ติดบัว มีห้องน้ำ อ่างล้างมือ โถสุขภัณฑ์ ฝักบัว (ไม่มีกระจกกั้นโซนเปียกโซนแห้ง) นอกจากนี้ก็ให้ชุดครัว ตู้ครัวทั้งล่างและด้านบน

รูปแบบ A: Studio ขนาด 22 ตร.ม.

ยูนิตแบบนี้มีเยอะที่สุดในโครงการ คาดว่าจะเป็นที่นิยม เพราะถูกใจกลุ่มเป้าหมายหลักคือ คนทำงานรุ่นใหม่ทั้งอยู่คนเดียวหรือมีแฟน มีกำลังผ่อนไม่เกิน 7,000-9,000 บาท/เดือน ราคาขายไต่อยู่ที่ 0.95-1.40 ล้านบาทโดยประมาณ ห้องรูปแบบนี้เป็นที่นิยมสำหรับคนที่ไม่ต้องการวิวหน้าต่างในห้องดีมากนัก เพราะยูนิต 22 ตร.ม.จะอยู่วิวนอก ไม่ได้วิวสระน้ำ แต่อยากอยู่คอนโดมิเนียมที่มี landscape กว้างและดูดี

ห้องแบบนี้เราสามารถทำบานเลื่อนกระจกกั้นแยกส่วนระหว่างห้องนั่งเล่นและห้องนอนเพื่อป้องกันเสียงลอดออกประตูด้านหน้าได้ (โครงการไม่ได้ให้กระจกบานเลื่อนกั้น แต่อาจจะมี option เสริมเพิ่มเงินแล้วโครงการจะติดตั้งให้ ต้องลองเจรจาดูครับ)

รูปแบบ B: Studio ขนาด 27.30 ตร.ม.

เป็นห้องที่คล้ายกับแบบแรก แต่มีการหันประตูห้องน้ำไปทางครัว เป็นสัดส่วน ควบส่วนมีกลิ่นเข้าไว้ด้วยกันนอกจากนี้ทำให้ห้องน้ำมีโอกาสได้รับแสงธรรมชาติช่วยทำให้ห้องน้ำไม่อับทึบอีกด้วย เท่าที่ได้สัมผัสห้องตัวอย่าง ขอแนะนำว่ายูนิต 27 ตร.ม. นี้ลงตัวสำหรับการอยู่อาศัยมากกว่าเพราะมีระยะห้องนั่งเล่นที่กว้างเป็นพิเศษถูกใจคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตในห้องนั่งเล่นมากกว่าห้องนอน และสังเกตว่าจะไม่มีโซนวางโต๊ะกินข้าวเพราะไลฟ์สไตล์ยุคใหม่คือจะกินข้าวที่โซฟาหน้าโทรทัศน์เลย เป็นการใช้ space แบบ multi-function และจุดเด่นพิเศษของยูนิตนี้และน่าจะเป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยก็คือ ห้อง Studio ที่มีหน้าต่างคล้าย Bay Window เป็นกระจกใสเข้ามุม ช่วยเปิดทัศนียภาพให้กว้างและรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่

ยูนิต 27 ตร.ม.แบบนี้ส่วนใหญ่จะหันเข้าหาสระว่ายน้ำและสวนส่วนกลาง จึงคาดว่าจะเป็นยูนิตที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้ที่มีงบประมาณไม่เกิน 2 ล้านบาทที่อยากได้ห้องที่มีความพิเศษแบบนี้ครับ ยูนิต 27 ตร.ม. นี้มีเยอะรองลงมาจาก Type A จึงเป็นแบบห้องที่หาไม่ยากครับ

รูปแบบ BG: 1 Bedroom ขนาด 36 ตร.ม.

(มีตัว G หมายถึงชั้นล่าง ชั้น Ground)

ยูนิตนี้มีเฉพาะชั้น 1 ของตึก B D และ E เท่านั้น ตึกอื่นไม่มี

แปลนห้องถ้าดูดีๆ จะเหมือนกับ Studio 27 ตร.ม. เป๊ะๆ แต่ต่างตรงที่มีบานเลื่อนกระจกติดกั้นเป็น 1 Bedroom สำเร็จรูปมาให้เลย มี Bay windowและเพิ่มพื้นที่ระเบียงชานบ้านออกไป แต่สัดส่วนภายในก็ยัง 27 ตร.ม. เหมือนเดิมครับ มีรั้วพรางตาด้านนอก ยูนิตนี้เหมาะกับคนชอบอยู่ที่ชานบ้าน นั่งชิลล์กลางแจ้ง ชมวิวสวน

รูปแบบ C1: 1 Bedroom ขนาด 31.62 ตร.ม.

ยูนิตแบบนี้มีจำกัดเฉพาะห้องมุมของตึก A, B, C และ D เท่านั้น (ตึก E ไม่มีแบบนี้เลย) เป็นยูนิตที่ได้วิวนอกทั้งหมด แต่ก็แลกมากับขนาดความใหญ่ของห้องที่มากขึ้น ข้อดีคือห้องนอนมีการระบายอากาศและแสงสว่างที่ดีมาก เหมาะกับคนที่ชอบแสงแดด

รูปแบบ C2: 1 Bedroom ขนาด 30.09 ตร.ม.

ยูนิตนี้มีให้เฉพาะตึก E เท่านั้น เป็นยูนิตหายากที่สุด ตั้งอยู่ตรงมุมป้านวิวนอกของตึกพอดีจึงทำให้แบบแปลนมีเอกลักษณ์ผนังแนวเฉียงแบบนี้ เหมาะสำหรับคนชอบความแตกต่าง ข้อดีอีกอย่างคือเป็น 1 Bedroom ที่มห้องหน้ากว้างมาก ทำให้มีหน้าต่างเยอะกว่ายูนิตอื่นๆ แถมห้องน้ำมีหน้าต่างระบายอากาศไม่อับชื้นด้วย ใครชอบต้องรีบจับจองหน่อยครับ

รูปแบบ D: 2 ห้องนอน

มี 2 ขนาดคือ Type D 40.81 ตร.ม. เปิดประตูทางเข้ามาเจอ Living Area มี 2 ห้องนอน นอนใหญ่ 1 ห้อง และนอนเล็กวางเตียง Single Bed 1 ห้อง ไม่มีระเบียงยาวๆ มีแค่ระเบียงเล็กๆ วางเครื่องซักผ้าได้เท่านั้น ยูนิตแบบนี้มีทุกตึก อยู่ห้องมุม

Type DG 50.09 ตร.ม.

และอีกแบบคือ Type DG 50.09 ตร.ม. (มี G มาจาก Ground) ทุกอย่างเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือระเบียง ระเบียงที่ให้มาจะยาวคล้ายชานบ้าน และมีรั้วพรางตาพร้อมประตูรั้วเตี้ยเปิดปิดได้ เพราะอยู่ชั้น Ground ยูนิตแบบนี้มีทุกตึกยกเว้นตึก A เพราะตึก A ชั้นล่างเป็นลานจอดรถ shop ต่างๆ และสำนักงานนิติบุคคล คนพลุกพล่านมากจึงไม่เหมาะที่จะเอาห้องพักอาศัยไปวางไว้ที่ชั้นล่าง

รูปแบบ E: Duplex 69.48 ตร.ม.

การออกแบบครั้งนี้ของ Ananda นั้นเรียนรู้จากความผิดพลาดของโครงการ Elio Del Ray ที่รู้กันดีว่าห้องชั้น 1 ขายยาก และออกช้ามากถึงมากที่สุด แต่รุ่นน้องอย่าง Unio ไม่ขอผิดซ้ำอีก ทางโครงการจึงตีโจทย์ใหม่ ทำยังไงให้ห้องชั้น 1 ขายง่ายขายเร็ว จึงสร้างสรรค์ออกมาเป็น Duplex 2 ชั้นอย่างที่หลายคนใฝ่ฝัน ให้อารมณ์คล้ายทาวน์โฮมย่อมๆ ที่มี facility จัดเต็ม นับว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับห้องพักอาศัยชั้น 1 อย่างดี โครงการนี้ออกแบบให้มีเฉพาะชั้น 1 วิวด้านในของตึก C และ D มีรูปแบบ Duplex เท่านั้น

โดยตึก C จะมี Duplex แบบ Garden Access เปิดประตูระเบียงออกมาคล้ายชานนอกบ้าน นั่งกลางสวน

ส่วนตึก D จะมี Duplex แบบ Pool Access Downhill ที่มีจุดเด่นตรงที่เดินขึ้นจากระเบียงแล้วมีบันไดเหล็กส่วนตัวเดินลงสระว่ายน้ำได้เลย สไตล์เดียวกับรีสอร์ทที่เมืองชายทะเลทำกัน

ลักษณะภายในของ Duplex ทางเข้าห้องหลักจะอยู่ที่ชั้น 2 เปิดเข้าไปมี Foyer เล็กๆ เลี้ยวซ้ายเป็นห้องนอนที่มีห้องน้ำในตัว ถ้าเดินตรงไปเป็นบันไดลงชั้นล่าง ชั้นล่างมีครัว พื้นที่โล่งทำเป็นห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น หรือจะใส่โครงเตียง 2 ชั้นให้ลูกนอนเตียงบน ด้านล่างวางโซฟามุมพักผ่อนครอบครัวก็ได้ ชั้นล่างก็มีห้องน้ำด้วยอีก 1 ห้องเผื่อมีแขกมาเยี่ยมหรือเวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอยากจะขับถ่ายพร้อมกันจะได้ไม่เคาะประตูแย่งห้องน้ำ

สำหรับคนที่เลือก Duplex Garden Access จะมีพื้นที่ระเบียงใหญ่ติดสวน วางเก้าอี้นั่งยาวๆ ทำเหมือนชานบ้านใช้รับแขกได้ ระหว่างสวนส่วนกลางกับระเบียงของเราเองมีประตูรั้วเตี้ยๆ กั้นไว้ให้ความรู้สึกคล้ายบ้านเดี่ยว

สำหรับคนที่เลือก Duplex Pool Access จะชวนแขกเดินลุยน้ำเข้ามาทางระเบียงคงไม่ได้ แต่จะตอบโจทย์สำหรับคนที่ชอบว่ายน้ำ ไม่ต้องเดินไกล แค่แต่งชุดว่ายน้ำแล้วไต่บันไดหรือโดดลงสระว่ายน้ำได้เลยทันที

Duplex แต่ละแบบแตกต่างกัน ใครถูกใจแบบไหนก็เลือกสรรกันไป

หลังจากที่เราศึกษามาครบแล้วว่ายูนิตแต่ละแบบหน้าตาคร่าวๆ เป็นยังไง ทีนี้มาดูภาพห้องตัวอย่างเสริมสร้างจินตนาการกันดีกว่าครับ

ห้องตัวอย่าง Type A Studio 22.44 ตร.ม.

เปิดประตูเข้าไปเป็นแบบนี้ ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนจริงๆ จะเชื่อมกัน ไม่ได้แบ่งห้องด้วยบานเลื่อนให้ครับ บริเวณห้องนั่งเล่นวางโซฟาขนาด 2 ที่นั่งและโต๊ะอเนกประสงค์ได้

ความกว้างของห้องถ้าเรากั้นห้อง ระยะห่างระหว่างเตียงกับหน้าต่างมีจำกัด แต่อาจจะถูกใจคนชอบอะไรเล็กๆ

มุมมองจากโซฟา

เดินเข้ามาครัว ใกล้กับประตูห้องน้ำ

ห้องน้ำแบบนี้ครับ กระจกเงา 70×90 ซม

กระเบื้องกรุผนังโซนเปียกสีขาวมีรายละเอียดเป็นลอน กระเบื้องกรุผนังส่วนอื่นเป็นกระเบื้องขาวเรียบๆ ดูสะอาดตา กระเบื้องพื้นสีอ่อนทำให้ห้องน้ำดูกว้าง

ครัวมีท็อปหินแกรนิตดำนำเข้าจากประเทศจีน ใช้งานทนทานกว่า หน้าบานเปิดตู้ครัวเป็นวัสดุเมลามีนลายไม้ทนทานกว่าลามิเนตที่ใช้กันทั่วไป ซิงค์ล้างจานแบบมุมเหลี่ยมยี่ห้อ TEKA ผนังชุดครัวกรุด้วยกระเบื้องสีดำกันเลอะและช่วยให้ครัวดูสวยงามน่าใช้

ซิงค์ล้างจานแบบมุมเหลี่ยมอาจทำความสะอาดยากกว่าแบบมุมโค้ง แต่ข้อดีคือมีปริมาตรมากขึ้นและวางจานชามได้มากกว่า

หันออกดูระเบียง มีคอมเพรซเซอร์ห้อยจากเพดาน 1 ตัว ติดกริลล์เป่าลมร้อนออกนอกระเบียง เวลาเดินออกไปซักผ้าจะได้ไม่หัวฟู

ก่อนไปดูห้องถัดไปถ่ายรูปมาฝาก ดูแล้วผ่อนคลายในโลกใบเล็กๆ ของเรา

ห้องตัวอย่าง Type B Studio 27.30 ตร.ม.

เปิดประตูเข้ามาเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่

กว้างพอที่จะวางโซฟา 3 ตอนแบบนั่งและนอนได้

ห้องนอน ติดแอร์ให้ 1 ตัว

หน้าต่าง 2 บาน บานใต้แอร์เปิดกระทุ้งออกได้ อีกบานเป็นหน้าต่างกระจกเข้ามุมแบบ Bay window

ผนังตกแต่งแบบนี้ก็ได้

Bay Window กระจกเข้ามุม แสงเข้าห้องเต็มๆ

พื้นที่ริมหน้าต่าง ห้องตัวอย่างเซ็ทให้เป็นโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง

พื้นที่วางตู้เสื้อผ้าและโต๊ะแต่งหน้า (ไม่มีให้ ต้องติดเอง)

ออกมาห้องนั่งเล่นอีกรอบ ถ่ายจากมุมโซฟา

เดินต่อเข้ามาที่ครัว โครงการให้ชุดครัวเปิดตัวได้แบบนี้ กระเบื้องสีดำกรุผนังก็ให้ครับ

มองจากครัวไประเบียง สังเกตว่ามีคอมเพรซเซอร์ 1 ตัว เพราะแอร์จะติดให้เฉพาะในห้องนอน

จัดพื้นที่เหนือทางเดินเข้าครัวให้สามารถติดแอร์เพิ่มเองในอนาคตได้

ระเบียง วางเครื่องซักผ้าได้ ระเบียงมีผนังยื่นออกมา ไม่ใช่ราวกันตกทั้งแผง ทำให้เวลาฝนตกหนักน้ำฝนจะไม่สาดเข้าเครื่องซักผ้าโดยตรง และพื้นที่หลบมุมตรงนั้นก็วางชั้นวางของได้

ห้องน้ำสีโทนสว่างทำให้ดูกว้าง

อ่างล้างหน้า American Standard

โถสุขภัณฑ์ Cotto ชักโครกแบบกดน้ำด้านบน

ส่งท้ายด้วยภาพจุดเด่นของห้อง 27 ตร.ม. มุมสวยมุมนี้

รายละเอียดการตกแต่งภายในยูนิต

• ทุกยูนิต ชุดครัวได้เต็มทั้งชุด บานตู้เมลามีนสีลายไม้
• ยูนิต 22 ตร.ม. แอร์ 1 ตัว ขนาด 12,000 BTU ในห้องนอน (ยี่ห้อ Samsung หรือเทียบเท่า)
• ยูนิต 27 ตร.ม. แอร์ 1 ตัว ขนาด 15,000 BTU ในห้องนอน
• ทุกยูนิต พื้นลามิเนต 8 มม.
• ทุกยูนิต ไม่ให้เฟอร์นิเจอร์ ไม่ให้ตู้เสื้อผ้า
• หน้าต่างบานกระทุ้งที่ห้องนอนสามารถเปิดออกได้ประมาณ 60-70 องศา
• ยูนิต 27 ตร.ม. มีกระจกห้องนอนใหญ่ เกือบ full height มองเห็นวิวด้านนอกได้กว้าง
• ยูนิต 27 ตร.ม. ห้องพื้นที่ห้องนั่งเล่นกว้าง 3.5 เมตร กว้างมากสามารถลงโซฟา 3 ที่นั่งได้ ทำกิจกรรมหลากหลาย กินข้าว ดูโทรทัศน์ นั่งนอน
• ทุกยูนิต มี Smoke Detector แต่ไม่มี Fire Sprinkler เพราะกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าตึกเตี้ยต้องทำ
• สวิตช์ไฟในห้องยี่ห้อ Bticino
• กระจกเงาในห้องน้ำที่ให้จริงคือขนาด 70×90 ซม.
• ห้องน้ำไม่กั้นกระจก Tempered โซนเปียก-แห้ง เราต้องติดเอง

จุดเด่นของโครงการ Unio Sukhumvit 72

Unio Sukhumvit 72 เป็นคอนโด Low rise ในเซกเมนต์ super economy ที่มีราคาเริ่มต้นต่อตร.ม.ต่ำกว่า 50,000 บาท โดยคอนโดแบรนด์ Unio ถือว่าเป็นแบรนด์ใหม่จากค่ายอนันดาฯ ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาเป็นคอนโด BOI บนทำเลจรัญฯซอย 3…ถึงแม้ว่า Unio ซีรีย์ใหม่นี้จะไม่ได้เป็นคอนโด BOI แต่ก็มีราคาที่ถูกที่สุดในบรรดาคอนโดทุกแบรนด์ของอนันดาอยู่ดี อนันดาฯเลือกที่จะใช้บริษัทลูกอย่าง Helix รับผิดชอบในเรื่องของการก่อสร้าง 100% ซึ่งจากรูปแบบโครงการที่เห็นก็ต้องขอชมเชยว่านี่เป็นคอนโดในเกรด super economy ที่ให้ความคุ้มค่า ทั้งในส่วนของวัสดุ การออกแบบ และพื้นที่ส่วนกลางมากที่สุดในตลาด ทั้งนี้คอนเซปท์ของแบรนด์อย่าง Live More ถูกนำมาใช้เป็นจุดเด่นของโครงการหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น

สำหรับซอยสุขุมวิท 72 นั้นมีข้อดีในเชิงการพักอาศัยอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเป็นทำเลที่ยังมีคอนโดอยู่ค่อนข้างน้อย ไม่แออัด ทั้งๆที่อยู่เกาะสถานีรถไฟฟ้าแบริ่งในแบบที่เดินค่อนข้างใกล้ อีกทั้งบริเวณโครงการ ก็มีทางเชื่อมไปถนนทางรถไฟสายเก่าวิ่งไปกล้วยน้ำไทได้ โดยเฉพาะหลัง 14:00 ถนนจะยิ่งโล่งเพราะไม่มีรถบรรทุกวิ่งแล้ว…ส่วนกลุ่มคนที่น่าจะสนใจโครงการ Unio Sukhumvit 72 ก็น่าจะเป็น คนที่อยากอัพเกรดชีวิตเปลี่ยนจากเช่าอพาร์ทเมนต์มาผ่อนคอนโดแทนให้เป็นทรัพย์สินของตัวเอง รวมถึงเจ้าของห้องคอนโดปล่อยเช่าที่คุ้นเคยอยู่กับการปล่อยเช่าคอนโดในทำเล ลาซาล แบริ่งอยู่แล้ว

Unio Sukhumvit 72 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มีความแตกต่างจากโครงการข้างเคียงเป็นอย่างมากเพราะด้วยความใหญ่ของที่ดินทำให้สร้างสรรค์พื้นที่ส่วนกลางได้จัดเต็มมากกว่าหลายเท่าและคอนเซปต์ การออกแบบที่เน้นพื้นที่สีเขียวธรรมชาติ มีแนวคิดการใช้งานพื้นที่ที่คิดมาดีทุกจุดทั้งในและนอกอาคาร ทำให้เป็นหนึ่งในโครงการที่ฟังก์ชั่นครบ บรรยากาศดี เงียบสงบ ราคาคุ้ม ทำเลสะดวกใกล้รถไฟฟ้า เป็นโครงการที่น่าสนใจสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาวอย่างแท้จริง

ถ้าชื่นชอบชีวิตในสุขุมวิทโซนใหม่ และถูกใจกับสไตล์ ทำเลและราคาของ Unio Sukhumvit 72 ก็แวะเข้าไปเยี่ยมสำนักงานขายใกล้ Ideo Mobi Sukhumvit East Gate ติดถนนใหญ่สุขุมวิท เลยสถานี BTS บางนาฝั่งขาออกไปนิดเดียวก็เจอเลย

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับโครงการ

• ที่พักอาศัยมีทั้งหมด 984 ยูนิต
• ตึก E มีจำนวนยูนิตน้อยที่สุด
• ความสูง Floor to Ceiling 2.63 เมตร ถือว่าเป็นเพดานสูงโล่งโปร่งกว่าโครงการอื่น ทำให้ห้องดูมีปริมาตรมากขึ้น ไม่อึดอัด สาเหตุที่ทำได้เพราะใช้ระบบก่อสร้างแบบ Fully Precast
• แต่ละตึกมีลานจอดรถ อัตราส่วนที่จอดรถ 30% สัดส่วนนี้น่าจะเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ เพราะสามารถเดินเท้าไปสถานีรถไฟฟ้าแบริ่งได้ในเวลา 10 นาทีแบบสบายๆ นอกจากนี้ด้านหน้า shop ก็มี visitor car parking ให้บริการด้วย
• สามารถให้เพื่อนขับรถแวะส่งที่หน้า Lobby แต่ละตึกได้

• เส้นทางการเดินรถภายใน มีจุดเข้าออกเดียวกันเพื่อประหยัดค่ารปภ.
• มีบริการรถรับส่งแต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเป็นรถตู้หรือรถกอล์ฟขนาดเล็กต้องให้นิติบุคคลเป็นผู้กำหนด
• Shower ในห้องน้ำสามารถติดครื่องทำน้ำอุ่นได้ แต่ติดเครื่องทำน้ำร้อนไม่ได้เพราะแรงดันน้ำแรงไม่พอ
• Phase 2 ที่อยู่ติดกันจะมีระยะห่างระหว่างตึก Phase 1 ประมาณ 12 เมตร
• ในซอยสุขุมวิท 72 เคยมีประวัติน้ำท่วม แต่ท่วมไม่มาก เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคตทางโครงการจึงได้ยกระดับพื้นทั้งโครงการสูงขึ้นจากถนน 30 ซม.

รายละเอียดเกี่ยวกับราคาและกำหนดการต่างๆ

• ราคาต่อตารางเมตรเริ่มที่ 42,000 บ. ถึง 65,000 บาท (ข้อมูลเมื่อ ก.ค. 2559)
• ผ่อนดาวน์ + ค่าจอง + ค่าทำสัญญา รวมกันแล้วประมาณ 10% ของราคาเต็ม
• โครงการจะสร้างแล้วเสร็จประมาณ 14 เดือนหลังเริ่มก่อสร้าง
• EIA อนุมัติแล้วเรียบร้อย