โชคดีเป็นของผมที่เลือกเดินทางด้วย NEX เพราะพี่เกริกที่บินการบินไทยมาถึงก่อนผมเป็นชั่วโมง เลือกใช้ Limousine bus เค้าบอกว่ารถติดมหาศาลกว่าจะมาถึง Shinjuku ใช้เวลาหลายชั่วโมง

ผมเลือกพักที่ Century Southern Shinjuku โรงแรมที่ผมชอบที่สุดในโตเกียว ไปพักมาไม่ต่ำกว่า 15 คืนแล้ว ตลอดหลายปีให้หลัง เป็นโรงแรมที่อยู่ฝั่งทิศใต้ของสถานี JR Shinjuku ซึ่งคนไทยหลายๆคนมักจะหลงและงงกับความใหญ่โตของมัน ออกประตู new south exit ซึ่งง่ายที่สุดคือขึ้นจากฝั่งใต้สุดของชานชลา จะมาโผล่ตรง Shinjuku Southern Terrace ที่เชื่อมต่อตึกสูงหลายตึกเข้าด้วยกันรวมถึงห้าง Takashimaya  ที่โด่งดังสุดๆด้วย  (ที่ terrace นี้เป็นที่ตั้งของร้านโดนัทชื่อดังอย่าง คริสปี้ครีม สาขาแรกของญี่ปุ่นด้วย) ค่าห้องพักคืนนึงก็ประมาณ 1 หมื่นบาท รวมอาหารเช้า  โรงแรมจะอยู่บนชั้น 20ขึ้นไปของอาคาร โดยโซนล่างจะเป็นร้านค้าและ office ห้องพักที่นี่สวย ขนาดใหญ่ และค่อนข้างใหม่ แถมคืนวันเสาร์จะมีดนตรีเล่นสดให้ฟังที่ lobby ด้วย  ผมเคยได้ยินว่าโรงแรมนี้ยังเป็นจุดแวะเข้าห้องน้ำชื่อดังสำหรับคนที่มาเดินเล่นแถวนี้ เพราะได้วิวที่สวยมาก เนื่องจากผนังด้านนึงของห้องน้ำเป็นกระจกบานเปลือยยาวเต็มความยาวห้อง

ไปถึงโรงแรมก็มืดแล้วตามธรรมชาติของญี่ปุ่นช่วงฤดูใบไม้ร่วง  ผมเลือกจะไปเดินเล่นที่ย่านชินจูกุเล็กน้อย ให้หายคิดถึง หลังจากที่ห่างหายกันไปเกือบปี ก่อนที่จะไปกินร้านลุงแว่น (ganko) เจ้าประจำที่มีสาขาหลักอยู่ที่ โอซาก้า

ร้านนี้ชาบูอร่อยซูชิก็อร่อย ช่วงที่ผมไปเป็นฤดูเห็ดมัทสึทาเกะ เห็ดหายากราคาแพงของญี่ปุ่น แน่นอนครับไม่พลาดที่จะสั่งมาลองลิ้มเป็นซุปกาใส่เห็ดอร่อยยยยยย!!!!! รสชาติ มันลึกล้ำมากครับ พูดแล้วน้ำลายไหล  ผมเข้านอนเร็วหน่อยวันนี้เพราะพรุ่งนี้มีนัดกับเพื่อนร่วมทริปแต่เช้า

วันที่ 2 ( 24 ตุลาคม) Proptrip Tokyo mission day 1 :

9 โมงเช้าผมออกเดินทางไปจุดนัดพบ ที่อาคาร Sumitomo shinjuku tower เดินประมาณ 500 เมตรจากสถานีไปทางตะวันตก  ทักทายผู้ร่วมทริปทุกคนจากนั้นก็ขึ้นรถบัส ออกเดินทางไปชมอสังหาโตเกียวกัน นอกจากผมกับพี่เกริกแล้ว ทาง Sumitomo ได้ส่งตัวแทนมาช่วยประสานงานพาชมและให้ข้อมูลอย่างละเอียดอีก 4 คน 2 คนเป็นตัวแทนจาก Sumitomo ประเทศไทยที่พวกผมติดต่อประสานงานมาตั้งแต่ต้นคือ คุณซูซากะ และคุณเหมย  อีก 2 คนเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่น ผมจำชื่อได้คนเดียวคือคุณโคทานิ ขออภัยจริงๆครับ T-T

ที่แรกที่เราไปคือสำนักงานขายของโครงการ flagship ของ Sumitomo อย่าง Deux Tours ที่ตั้งอยู่ในทำเลฮารุมิ ติดกับคลองที่เชื่อมต่อไปอ่าวโตเกียว โดยในอนาคตโครงการนี้จะอยู่ติดกับ tokyo olympic village อีกด้วย  ที่สำนักงานขายอยู่ห่างจากอาคารจริงประมาณ 1 กิโลเมตร ตามกฏหมายของญี่ปุ่นแล้วห้ามตั้งสำนักงานขายชั่วคราวที่ site งานแบบของไทย แต่ต้องตั้งอยู่ตามอาคารที่มั่นคงถาวรแทน 

เราเข้าไปชม video presentation ที่ห้อง mini theater พร้อมกับรับประทานอาหารกล่อง bento แบบพรีเมียม ที่ทาง Sumitomo จัดให้ไปพร้อมกันด้วย บิลด์กันจนได้ที่แล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปดู โมเดลตึกและห้องตัวอย่าง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการและรู้จริงคอย present ให้ฟังเรียกได้ว่ามืออาชีพมากๆ รู้ลึกทุกสิ่งอย่างของโครงการและทำเลที่ตั้ง

เมื่อชมเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปยังคอนโดจริง โครงการ Deux Tours Canal and Spa ตึกคู่สูง 52 ชั้น  เราร่วมถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกก่อนแบ่งกลุ่มกันขึ้นไปชมโครงการ

ที่นี่ชั้นล่างเป็น drop off และมี supermarket ชื่อดังอย่าง maruetsu เปิดให้บริการอำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน

Deux Tours อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าและในอนาคตจะยิ่งใกล้เมื่อสถานีใหม่แถวโอลิมปิควิลเลจสร้างเสร็จ การมาของโอลิมปิควิเลจทำให้อนาคตของย่านนี้สดใส มีทั้งสถานีใหม่ อาคารใหม่ๆ และมีการทำถนนเส้นใหม่วิ่งตรงจากย่านใจกลางเมืองเข้ามาถึงโครงการอีกด้วย โดยเมื่อเลิกใช้งาน โอลิมปิควิลเลจจะถูกแปรรูปเป็นย่านพักอาศัย อาคารสำนักงาน สถานศึกษา ครบวงจร

จากชั้นล่างต้องขึ้นบันไดเลื่อนมาที่โถง lobby แบบdouble volume เชื่อมต่อกับลานริมน้ำด้านนอกที่ทำเป็นพื้นที่เชื่อมต่อกับทางเดินจากสถานีรถไฟ เป็นที่พักผ่อนพร้อมสวนสวยๆ

ที่ชอบมากๆคือโถงทางเดินของญี่ปุ่นจัดเต็มปูพรมติดวอลล์เปเปอร์ปรับอากาศเหมือนโรงแรม หน้าห้องใช้ชุดประตูทำจากเหล็กทนไฟอย่างสวยดูแพง มีส่วนเว้าของหน้าห้องเข้าไปเป็นfoyer เพิ่มความหรูหรา  ที่หน้าประตูมี intercom มีกล้องส่องมองเห็นจากในห้อง และมีที่ให้ติดป้ายชื่อได้สำหรับคนที่อยากติด ที่คอนโดนี้ยังจัดพื้นที่หน้าห้องเป็นห้องเก็บของส่วนตัวที่เปิดจากโถงทางเดิน เอาไว้ไว้ของชิ้นใหญ่ที่ไม่อยากเอาเข้าห้อง

พื้นที่ระเบียงไม่คิดรวมในพื้นที่ขายเลยมีช่องให้ใช้ขึ้นลงยามฉุกเฉินได้

ห้องที่นี่จะได้วิวสวยๆของอ่าวโตเกียวและวิวเมืองตึกสูงสวยๆเป็นฉากหลัง เห็นโตเกียวทาวเวอร์ เห็นดิสนีย์แลนด์ในบางห้อง

ห้องที่เราไปดูเป็นห้องที่มีวิวตึกใกล้ๆกันบังนิดๆ แต่มุมก้มเห็นลานริมน้ำของคอนโดสวยดีครับ

ทาง Sumitomo พาไปดูห้องขยะซึ่งมีประตูปิด 2 ชั้น มีอ่างให้ล้างมือ และมีการปรับความดันให้ในห้องขยะต่ำกว่าด้านนอก ทำให้กลิ่นไม่สามารถออกไปรบกวนด้านนอกได้เลย สุดๆไปเลย

ด้านบนสุดเป็น sky lounge ไว้ดูวิวสวยๆ แต่เพดานเตี้ยไปนิสสำหรับคนไทย อ้อที่ญี่ปุ่นไม่มีสระน้ำกับฟิตเนสในคอนโดให้นะครับ เพราะสิ่งเหล่านี้หาได้ในละแวกของคอนโดอยู่แล้วและจัดเต็มมากๆแถมเปิด 24 ชั่วโมง คนญี่ปุ่นจึงนิยมไปเล่นด้านนอกมากกว่า

เมื่อดูตึกจริงเสร็จ พวกเราไปต่อกันที่สถานที่ก่อสร้างโครงการ Highashi Azabu ที่ตั้งอยู่บนทำเล 1ใน3 A ที่แพงที่สุดของญี่ปุ่น ( azabu / aoyama / akasaka )  คอนโดสร้างไปได้หลายชั้นแล้ว ตั้งอยู่ตรงข้ามหอโตเกียว landmark  ในตำนานของคนญี่ปุ่นเค้า (ถ้าใครสนใจคอนโดนี้อ่านต่อได้ใน City House Higashi Azabu: Premium compact residences พร้อม legendary view บนหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของโตเกียว

เดินรอบๆบริเวณคอนโดจะดูเก่าๆ แต่ซูซากะซัง บอกว่าคนญี่ปุ่นอินกับทำเลนี้มาก คนรวย,ดารา,คนมีชื่อเสียงชอบมาอยู่กัย ห่างแค่ไม่กี่ร้อยเมตรจากสถานีรถไฟอีกต่างหาก ราคาต่อตารางเมตรเลยสูงพอสมควร แต่ช้าก่อนที่นี่เน้นห้องเล็กครับ ทำให้ราคารวมออกมาแค่ประมาณ 10 ล้าน เท่านั้น ว้าววววว ห้องตัวอย่างอยู่ที่สำนักงานขายรวมครับซึ่งเราจะได้ไปดูกันในวันพรุ่งนี้ ทุกคนอยากเห็นมากว่าห้อง 2x ตรม ของญี่ปุ่นเป็นยังไง

ย่านนี้เป็นย่านพรีเมียมจริงๆนะ เพราะตึกที่ติดกันกับคอนโดเป็นโชว์รูม Ferrari นะครับพี่น้องงงงง แถมรถแถวนี้ก็มีแต่รถยุโรปราคาแพง

คอนโดเข้าออกได้  2 ทาง เนื่องจากตึกอยู่ติดถนนทำให้สร้างสูงมากไม่ได้ ที่ site ก่อสร้างก็ต้องระวังสุดๆ พวกเราแทบไม่ได้ยินเสียงจากการก่อสร้างเลยครับ เพราะมีการควบคุมกันแบบจริงจัง ถึงขนาดมีเครื่องวัดเดซิเบลมาติดเก็บข้อมูลกันเลยทีเดียว

ต่อจากนั้นเราได้ไปคอนโดอีกแห่งที่ย่าน โยทสึยะ ย่านที่เป็นแหล่ง lifestyle ของโตเกียวอีกแห่ง ที่ตรงนี้ซูซะกะซังแอบกระซิบกับผมว่าเค้าชอบทำเลนี้มาก อยากได้ไว้เองเหมือนกัน  ห่างจากสถานีโยทสึยะไม่ไกล แถวนี้มีคอนโดใหม่ขึ้นน้อยมาก ฝั่งตรงข้ามถนนก็กำลังทำคอนโดขายอยู่ ผมเดินไปดูแล้วก็สวยไม่แพ้กัน 55

คอนโดฝั่งตรงข้ามเอาต้นไม้หน้าที่ดินเป็นภาพ tiveโฆษณาขายด้วย

ที่สุดยอดคือ มีการจัดเจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกจราจรแบบมุ่งมั่นจริงจัง แตกต่างจากที่เราๆคุ้นเคยกันที่เมืองไทยมากๆ อึ้งเลยครับ  เนื่องจากเป็นทำเลที่เป็น residential ทำให้กรุ๊ปของเราต้องจอดรถบัสที่ด้านนอกแล้วเดินต่อเข้ามาเล็กน้อย เดินผ่านร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารหลายร้าน น้ำลายไหลกันไปแต่เนื่องจากเวลาที่จำกัดทำให้พวกเราแวะซื้อของไม่ได้ ต้องรีบไปที่คอนโดสุดท้ายของวัน

คอนโดที่ไปเป็นแห่งสุดท้ายอยู่ในย่านมหาวิทยาลัยวาเซดะ มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของญี่ปุ่นถ้าเทียบกับไทยก็คงเป็น ABAC สินะ  จุดเด่นคือความที่ทำเลนี้อยู่ในย่านสีเขียว มีทั้งสวนของมหาวิทยาลัยและสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แต่จริงแถวนี้ผมแอบกรี๊ด ดองกิโฮตเตะ ห้างขายของราคาถูกขวัญใจชาวไทย สาขาที่มีขนาดใหญ่สุดๆมากกว่าครับ   

ระหว่างทางที่รถบัสผ่านคุณซูซากะก็บอกเล่าเกร็ดความรู้เกี่ยวกับทำเลและร้านค้าที่ผ่านไป บางย่านเป็น Gay town บางย่านเป็นย่านคนไทยคนเกาหลีย่านคนอินเดีย ร้านซูชิร้านนี้ระดับเทพใช้รองรับผู้นำประเทศ  คุณเหมยก็คอยเสริมเรื่องราวต่างๆ  (คุณเหมยเป็นคนไทยที่พูดคล่องทั้งญี่ปุ่นและอังกฤษ แถมมีความรู้เกี่ยวกับอสังหาญี่ปุ่นดีมากๆอีกด้วย )

รถเรามาจอดที่หน้าโครงการ Skyforest Shinjuku ที่นี่เป็นตึกคู่ในโครงการเดียวกัน ตึกแรกเป็น office tower ตึกที่ 2 เป็นคอนโด  ใช้รั้วเดียวกันใช้สวนสวยๆร่วมกัน สภาพแวดล้อมร่มรื่นน่าอยู่มาก  พวกเราขึ้นไปดูแล้วก็ประทับใจสุดๆกับคอนโดนี้ มองเห็นใจกลางชินจูกุแบบเต็มๆตา กะระยะทางก็ประมาณ 2 กิโลเมตรจาก jr shinjuku (แต่ใกล้สถานีอื่นแทน )

เมื่อทุกคนลงมาที่รถกันครบ พวกเราเดินทางต่อไปรับประทานอาหารเย็นที่ย่านกินซ่า ร้าน Carne station เป็นร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่คนไทยชอบไป ดูสภาพร้านแล้วไม่น่าจะอร่อย แต่พอกินแล้วทุกคนประทับใจในรสชาติ โดยเฉพาะเนื้อวัวญี่ปุ่นเกรด A ที่เสริฟไม่อั้น และขาปูอลาสก้าที่มาให้กินอย่างจุใจ คนที่นั่งโต๊ะเดียวกับผมกินปูไปเกือบ 2 ตัว โอ้ววววววว

เราจบ Proptrip วันแรกกันที่ร้านนี้ ผมพาลูกทริป 2-3คน เดินข้ามถนนไปตึกที่มีขายแต่ของเล่นทั้งตึกหาซื้อของไปฝากลูกสาว หลังจากนั้นก็เดินไปสถานี JR shimbashi นั่งรถไฟกลับไป Shinjuku ต่อไป ด้วยสาย Yamanote  เป็นอันจบวัน 

**วันที่ 3 (25 ตุลาคม)  ยังเป็นวัน proptrip อีกหนึ่งวัน เดี๋ยวผมขอยกยอดไปไว้ในบทความหน้านะครับจะได้เกลี่ยเรื่องอสังหาไปไว้   2 บท **

วันที่ 4  (26 ตุลาคม)  mother farm  แหล่งท่องเที่ยวรูปแบบฟาร์มยอดนิยมไม่ไกลจากโตเกียว :

หลังจากกินอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว พวกเรารีบเดินไปสถานี Shinjuku เพื่อนั่งรถไฟไป mother farm ที่อยู่ที่จังหวัดชิบะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงจากชินจูกุ ก่อนอื่นผมต้องแวะที่สถานีแป๊บนึงไปเปิดใช้ JR pass ที่ซื้อมาจากกรุงเทพซะก่อน

ฟาร์มแห่งนี้มีจุดที่น่าสนใจหลายสิ่งอย่าง มีแม้กระทั่งสวนสนุกในนั้น  เรียกได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ  บัตรผ่านประตูราคา xxx แต่ถ้าซื้อล่วงหน้าจากร้านสะดวกซื้อจะได้ราคาถูกกว่า  ฟาร์มนี้อยู่บนภูเขา การเดินทางโดยรถไฟไปไม่ถึงต้องต่อรถบัสขึ้นไป ซึ่งทางฟาร์มก็มี free shuttle ไว้บริการวันละ 1 เที่ยวที่สถานี kimitsu แต่ต้องโทรสำรองที่นั่งล่วงหน้า ถ้าใครทำเวลาไม่ได้ หรือไม่ได้โทรจองไว้ ก็มีทางเลือกคือไปลงที่สถานี sanukimachi แล้วนั่งรถเมล์ขึ้นเขาต่อไปถึงฟาร์ม

ปล.ตั้งแต่วันที่1/11 ฟาร์มเปลี่ยนผังการเดินทางเป็นภาพนี้ไม่รู้ว่ายกเลิก shuttle bus ไปแล้วรึเปล่า)

อย่างไรก็ตามวันที่ผมไปก็ไม่ได้ใช้ free shuttle ครับเวลาไม่ได้

มีทางเข้าฟาร์ม 2 ด้าน เข้ามาจะเป็นส่วนขายของที่ระลึกมาตัดกำลังก่อน 1 ยก T-T  ฟาร์มมีพื้นที่ใหญ่มาก แต่ละโซนต้องเดินไกลกันพอสมควรแถมต้องเดินขึ้นเนิน ถ้าจะมาต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม จุดที่หลายๆคนโดยเฉพาะเด็กๆชอบก็ โซนจับสัตว์ (ลูบๆคลำๆ) มีเต่ายักษ์ หนูยักษ์บาคิบารา กระต่าย หมูดำ และไฮไลท์สำคัญในโซนนี้ที่คนญี่ปุ่นเองยังชอบคือ ห้องนั่งเล่นกับน้องกระต่าย และกินีพิก  ตอนเข้าประตูเราจะได้รับผ้าขนหนูและถุงมือ เมื่อใส่เสร็จก็เดินไปรับสัตว์ที่ชอบมานั่งตักลูบๆคลำๆตามต้องการ ลูกผมชอบโซนนี้มากเล่นแล้วเล่นอีก ส่วนตัวผมนั้น เดินอุ้มกระต่ายอยู่ดีๆมันก็กระโดดหนีออกจากมือไปใส่หลังหญิงสาวชาวญี่ปุ่นด้านหน้า ทำเธอโกรธค้อนแล้วก็ค้อนอีก ผมขอโทษ >< 

มีที่ให้ลองรีดนมวัว ป้อนอาหารม้า ขี่ม้าเดินรอบ ไปดูโชว์น้องหมาต้อนแกะพอต้อนเสร็จแล้วเราก็เข้าไปเดินเล่นลูบคลำในฝูงแกะได้ มีฮอลล์ให้ดูตัดขนแกะและโชว์อีกเล็กๆน้อยที่ผมไม่อยากจะสปอยล์ให้เสีย first impression ไปดูเองดีกว่า  โดยรวมจัดว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆครับ

เนื่องจากที่นี่อยู่บนเขา ทำให้มองลงไปได้ทิวทัศน์ที่สวยงามมาก แถมที่ฟาร์มยังปลูกดอกไม้สวยๆตามฤดูกาล รวมทั้งมีผลไม้ให้ได้ลองเด็ดกินอีกด้วย  

ทีเด็ดที่สุดของที่นี่คืออาหารครับ เนื่องจากเป็นฟาร์มผลิตภัณฑ์จากนมจึงสดมาก แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือเนื้อแกะสดๆ ย่างแบบเจงกีสข่าน ถ้าใครไม่ย่างเองจะสั่งเป็นsetเนื้อแกะย่างกินกับไข่ลวกกับโชยุ โอ้ยยยอร่อยมากกกกกก กินไปดูวิวสวยๆไปบนจุดที่สูงที่สุดของยอดเขา สุดยอดจริงๆครับ

ขากลับเราก็นั่ง shuttle bus ที่จองไว้ไปลงที่สถานี Kimitsu แล้วนั่ง jr กลับมา Shinjuku

แต่ผมพาลูกลงที่สถานี Ikebukuro ก่อนเพื่อไปแวะชอบที่ Sunshine city  มีของเล่นเยอะมากและมี Toy R Us ซะด้วย เสียเงินให้ของเล่นอีกละ T-T เมื่อชอบเสร็จก็นั่งสาย Yamanote กลับ Shinjuku

ถึงสถานี Shinjuku ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว เรายังติดใจร้านลุงแว่น Ganko เลยไปจัดหนักอีกรอบ งวดนี้กินชาบูชาบูชุดใหญ่ครับ โอยอร่อยมากอีกแล้ว คิดเงินออกมาก็พันกว่าบาทกินกัน 4 คน ถือว่าราคาใกล้เคียงย่านทองหล่อแต่คุณภาพดีกว่าอีก step

วันที่ 4 (optional)

สำหรับคนไม่ชอบไปฟาร์ม งวดนี้แฟนผมพาครอบครัวเค้าที่มาแจมไม่กี่วันไปอีกที่ครับ คือย่านคารุยซาว่า ซึ่งเดินทางง่ายมากจากโตเกียว ใช้เวลาประมาณ 1 ชม ที่นี่มี outlet ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นซึ่งติดสถานีรถไฟเลย เป็นเมืองที่บรรยากาศอบอุ่นน่ารัก มีสกีรีสอร์ท ใครไปก็ประทับใจและถือเป็นเมืองตากอากาศของคนโตเกียวด้วย คนมีฐาะของญี่ปุ่นชอบอยู่ที่นั่น แฟนผมไปแล้วก็ติดใจชอปกระจายจนงบหมดกระเป๋าฉีก แนะนำครับสำหรับขาช๊อบ คุณจะได้้งของดีราคาถูกและซึมซับบรรยากาศเมืองตากอากาศของญี่ปุ่นไปพร้อมๆกัน (แนะนำสุดๆสำหรับคนรักน้องหมานะครับ คนญี่ปุ่นชอบพาไปเดินเล่น ไป hangout กันที่นั่น น่าร้ากกกก )

credit sinsehkansai

วันที่ 5 (27ตุลาคม) Disney Sea:

Disney Sea เป็น Disney ที่ลูกสาวผมอยากไปมากในครั้งนี้เพราะเค้าไปดิสนีย์แลนด์มา 2 ครั้งแล้วที่โตเกียวและที่ฮ่องกง วันนี้เลยจัดให้ ลูกผมเธอบอกว่าคนจะมาดิสนีย์ซีต้องผ่านการเที่ยวดิสนีย์แลนด์ก่อนซัก 2 ครั้ง ว่าไปนั่น

การเดินทางก็ตามนี้ครับ แต่ตอนต่อรถไฟที่สถานีโตเกียวเดินไปสายที่ไปสถานี Maihama นี่เดินไกลพอสมควรเลยครับหลายร้อยเมตร

ช่วงที่ไปมี Theme ฉลองดิสนีย์ซี ครบ 15 ปีพอดีครับ อีกอย่างคือที่นี่เป็นดิสนีย์ซีที่เดียวของโลก!!!!  ดังนั้นน่าไปสุดๆ ก็ตามมาตรฐานดีสนีย์แลนด์ครับดีงามมาก ประทับใจแถมวันที่ไปยังใกล้กับวัน halloween ทุกคนที่ไปจัดเต็มคอสตูมมาก แต่งเป็นตัวการ์ตูนกันเต็มรูปแบบ ที่ผมเห็นเยอะๆก็สาวญี่ปุ่นแต่งเป็นเจ้าหญิงแจสมิน จากเรื่องอาลาดิน เยอะที่สุด ส่วนลูกผมก็ซื้อชุดมินนี่เม๊าส์พร้อมที่คาดผมเป็นหูมินนี่ ใส่กันไปน่ารักไม่แพ้กัน 5555

วันนี้เที่ยวที่นี่ทั้งวันครับ ผมเคยมาหลายครั้งแล้วเลยพอรู้ว่าอาหารไม่ค่อยน่ากินแถมราคาสูง เลยซื้อเบนโตะและแซนวิชจากร้านสะดวกซื้อติดกระเป๋ามากินด้วย แนะนำให้เตรียมไปนะครับ ของกินในนั้นมีแต่ของทอดเป็นส่วนใหญ่

ขากลับพวกเราไปแวะหาอะไรกินที่สถานีโตเกียว ตรงนั้นมี Ramen Alley แวะกินหลายร้านก็อร่อยดีครับ แต่ก็เหมือนกับที่ซูซากะซังจาก Sumitomo บอกไว้ คือราเมงที่กรุงเทพก็อร่อยเหมือนๆกัน ที่สถานีโตเกียวก็มีของชอบหลายอย่างครับ น่าซื้อไปหมดถ้าควบคุมกระเป๋าเงินไม่อยู่มีสิทธิถังแตกตอนกลับเมืองไทย ติดหนี้บัตรเครดิตหลายหมื่นแน่นอน

จากนั้นก็กลับชินจูกุพักโรงแรมเดิมเป็นอันจบวัน

จบ part แรกครับ หลังจากนี้จะออกจากโตเกียวละ ติดตามตอนต่อไปนะครับบบบบบ